ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิด “รอยสิว” พร้อมแนะนำวิธีรักษารอยสิวที่ได้ผลดี

รอยสิว

รอยสิวปัญหาที่กวนใจใครหลายๆ คน แม้ว่าจะรักษาสิวจนหายหมดแล้ว แต่กลับทิ้งรอยสิวไว้ให้ดูต่างหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะมีหลายคนเหมือนกันที่สูญเสียความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะรอยสิวที่บริเวณใบหน้า หรือ รอยสิวที่หลัง แม้ว่ารอยสิวจะไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตแต่ทุกคนก็คงอยากหน้าเนียนใส ผิวกระจกเหมือนดาราหรือพี่สาวเกาหลีกันทั้งนั้น 

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกับกลไกการเกิดรอยสิว หาสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิวทุกรูปแบบ เช่น รอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็นที่มีสาเหตุมาจากสิว พร้อมทั้งแนะนำวิธีรักษารอยสิวที่หน้า และ รักษารอยสิวที่หลังให้กลับมาเนียนใสพร้อมสู้กับทุกสถานการณ์ ถ้าพร้อมแล้วไปหาคำตอบกันเลย!


รอยสิว คืออะไร

แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่น่าจะรู้จักรอยสิว เพราะเป็นอะไรที่สังเกตเห็นได้ค่อนข้างง่าย และในช่วงวัยรุ่นหลายคนน่าจะเคยประสบปัญหารอยสิวตามใบหน้า แต่อาจจะยังไม่รู้ว่ารอยสิวแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะสีสันและสาเหตุที่เกิด โดยรอยสิวสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้

1. รอยแดง  (Post-Inflammatory Erythema)

รอยแดงจากสิว

รอยสิวที่มีลักษณะสีแดง สีชมพู หรือสีม่วง คนส่วนใหญ่จะเรียกว่า “รอยแดง” ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากการอักเสบของผิวบริเวณที่เกิดสิว หรือ มีสาเหตุมาจากสิวอักเสบ เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบโดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์จะมีกระบวนการฟื้นฟูตัวเองด้วยการลำเลียงเลือดที่เกิดการอักเสบ ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เกิดการอักเสบมีลักษณะเป็นสีแดง สีชมพู หรือ สีม่วง นั้นเอง 

ทั้งนี้แม้ว่ารอยแดงจากสิวจะเป็นรอยสิวที่รักษาได้ง่ายที่สุดในบรรดารอยสิว แต่ถ้าหากรักษาไม่ถูกวิธีหรือปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้รับการรักษา รอยแดงสามารถกลายเป็นรอยสิวถาวรได้ 

2. รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)

รอยดำจากสิว

สาเหตุของการเกิดรอยดำส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากสิว การระคายเคืองผิวหนัง เมื่อผิวหนังโดนกระตุ้นจนเกิดการอักเสบจะไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสี หรือที่เรียกว่า เมลานิน และเมลานินนี่เองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยดำ ทั้งนี้การรักษารอยดำมักจะใช้ระยะเวลานานกว่าการรักษารอยแดง เพราะรอยดำเป็นการอักเสบบริเวณชั้นผิวหนังแท้ ที่อยู่ลึกลงไป 

3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)

รอยหลุมสิว

รอยสิวประเภทสุดท้าย ได้แก่ รอยหลุมสิว ซึ่งเป็นรอยสิวที่รักษายากและใช้ระยะเวลานานมากที่สุด ส่วนใหญ่รอยหลุมสิวมักมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายพยายามซ่อมแซมรักษาผิวที่เกิดบาดแผล แต่การซ่อมแซมส่วนใหญ่มักจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่เรียบเนียนเท่าตอนแรกจึงกลายเป็นหลุมสิว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้การรักษารอยหลุมสิว แพทย์อาจจะแนะนำการใช้เลเซอร์ควบคู่ไปกับการทารอย เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่ดีมากขึ้น 


รอยสิวเกิดจากสาเหตุอะไร

หลายคนน่าจะสงสัยกันใช่ไหมคะ แล้วรอยสิวเกิดจากอะไรกันแน่ ? จริงๆ แล้วรอยสิวส่วนใหญ่มักจะเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกายที่ได้กล่าวไปข้างต้น เช่น รอยแดงเกิดจากที่ร่างกายพยายามลำเลียงเลือดไปยังบริเวณที่เกิดการอักเสบ หรือ รอยหลุมสิวที่เกิดจากการที่ร่างกายพยายามซ่อมแซมตัวเอง แต่เพราะแผลที่เกิดอยู่ลึกและคอลลาเจนไม่เพียงต่อการซ่อมแซม จึงทำให้การซ่อมแซมผิวไม่เรียบเนียนและกลายเป็นหลุมสิวในที่สุด 

นอกจากนี้รอยสิวส่วนใหญ่มักจะเกิดหลังจากที่รักษาสิวหายแล้ว หรือ ระหว่างที่เป็นสิว ไม่ว่าจะเป็น สิวอักเสบ หรือ สิวอุดตัน ก็สามารถทำให้เกิดรอยสิวได้เช่นเดียวกัน 


วิธีรักษารอยสิว

วิธีรักษารอยสิว

ปัจจุบันมีวิธีรักษารอยสิวหลายวิธีให้ทุกคนได้เลือกสรรตามความเหมาะสมและความสะดวก โดยวิธีรักษารอยสิวที่คนส่วนใหญ่นิยมกัน ได้แก่ 

1.  ทายารักษารอยสิว 

การใช้ยารักษาภายนอก หรือ ยารักษารอยสิว เป็นวิธีที่หลายคนเลือกใช้ เพราะหาซื้อได้ง่าย สะดวก และมีราคาไม่แพง สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าวิธีอื่นๆ โดยยารักษารอยสิวในปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ผลิตออกมาให้เลือกสรร แนะนำให้เลือกยารักษารอยสิวที่มีส่วนผสมของสารต่อไป ไม่ว่าจะเป็น Retinoids, Topical Vitamin C, Kojic Acid, Niacinamide, Arbutin, Thiamidol และ Nicotinamide เป็นต้น 

2. เลเซอร์รักษารอยสิว 

เลเซอร์รักษารอยสิวนับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายๆ คนเลือกใช้ และ เป็นวิธีที่ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีที่รักษารอยสิวได้ดี เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่การรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์มักจะมาคู่กับค่ารักษาที่ค่อนข้างสูงกว่าการใช้ยารักษารอยสิวหลายเท่าเลยทีเดียว 

ซึ่งการรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์จะไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้เกิดใหม่และแข็งแรงมากกว่าเดิม และในปัจจุบันการรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์เป็นวิธีรักษาที่มีความปลอดภัยสูง

3. การฉีดสเตียรอยด์

ในกรณีที่รอยสิวมีลักษณะเป็นรอยแผลเป็นนูนแข็ง หรือที่หลายคนเรียกว่า คีลอยด์ (Keloid) จากสิว แพทย์อาจจะแนะนำการรักษาด้วยการฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพื่อให้รอยแผลเป็นยุบตัวลง ซึ่งการฉีดสเตียรอยด์เป็นวิธีรักษารอยสิว หรือ รอยแผลเป็น ที่ปลอดภัย แต่หลังรักษาแล้วบริเวณรอยแผลเป็นอาจจะมีลักษณะแดงรอบๆ แผลเป็น เพราะสเตียรอยด์ที่ฉีดเข้าไป ไปกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดแดง 

4. ฉีดฟิลเลอร์ 

ทุกคนรู้หรือไม่ว่านอกจากฟิลเลอร์จะช่วยลดร่องแก้ม ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์แล้ว ฉีดฟิลเลอร์สามารถใช้เพื่อรักษารอยสิวที่เป็นหลุมได้ด้วย และเป็นการรักษาที่เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด โดยการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้น เป็นการเติมเต็มให้หลุมสิวกลับมาเรียบเนียน แต่การรักษารอยสิวด้วยฟิลเลอรืจำเป็นต้องเลาะพังผืดออกไปก่อน จึงจะสามารถฉีดได้ 

5. เลือกครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน

สำหรับใครที่ไม่สะดวกไปคลินิกเสริมความงาม นอกจากยาทาภายนอกรักษารอยสิวแล้ว การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซนสามารถช่วยรักษารอยสิวได้ ไม่ว่าจะเป็น รอยดำ หรือ รอยแดง ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซนจะช่วยให้รอยสิวดูจางลง ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซนสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป 


รอยสิวรักษาได้หรือไม่

ทำไมรอยสิวรักษาไม่หาสักที รอยสิวกี่วันหาย ? เพราะรอยสิวมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น รอยดำ รอยแดง และ รอยหลุมสิว  โดยแต่ละประเภทก็มีกลไกการเกิดรอยและวิธีรักษาแตกต่างกันออกไป ถ้าหากเป็นรอยดำรอยแดงที่เกิดบริเวณชั้นผิวหนังตื้นๆ ก็ยังพอรักษาให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้ 

แต่ในกรณีที่เป็นรอยหลุมสิวอาจจะไม่สามารถรักษาให้กลับมาสมบูรณ์อย่างเก่าได้ เพราะเป็นรอยแผลที่อยู่ในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไปมาก แต่ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ในทางการแพทย์จะช่วยให้รอยสิวดูเบาบางและอย่างจางลง ถ้าหากไม่สังเกตดีๆ อาจจะมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ 


วิธีป้องกันการเกิดรอยสิว

วิธีรักษารอยสิว

แน่นอนว่าถ้าเลือกได้ใครๆ ก็อยากมีผิวหน้าที่เรียบเนียน ขาวกระจ่างใสอยู่ตลอดเวลา ซึ่งวิธีป้องกันให้หน้าเนียนใส ห่างไกลจากการเกิดรอยสิว ได้แก่ 

  1. หลีกเลี่ยงการบีบ หรือ กดสิว ด้วยตนเอง 
  2. ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีเป็นส่วนผสม
  3. หลีกเลี่ยงแสงแดด
  4. รักษาสมดุลไมโครไบโอบนผิวหน้า 
  5. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้มาตรฐาน ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
  6. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวของแต่ละคน
  7. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ 

รักษารอยสิวที่ไหนดี 

รักษารอยสิวที่ไหนดี

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวและรอยสิว การเลือกคลินิกรักษาอาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามหลายแห่งที่มีบริการรักษาสิว ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าควรจะเลือกคลินิกไหนดี ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจรักษารอยสิว แนะนำให้เลือกคลินิกที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ 

  1. คลินิกได้มาตรฐาน และ มีใบอนุญาต
  2. คลินิกมีอุปกรณ์ครบครัน สะอาด ปลอดภัย 
  3. คลินิกมีรีวิว และ น่าเชื่อถือ 
  4. แพทย์ที่รักษาต้องเป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือ แพทย์ผู้ชำนาญการ 
  5. มีพนักงานคอยให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาก 
  6. การเดินทางง่าย สะดวก หรือ อาจจะใกล้ที่ทำงาน หรือ ที่พัก 

ข้อสรุป

แม้ว่ารอยสิวอาจจะเป็นปัญหาที่ไม่ได้ส่งผลอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต แต่ก็เป็นปัญหาที่คอยทำลายความมั่นใจของใครหลายๆ คน โดยการรักษารอยสิวที่ดีที่สุด คือ การไปปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารักษาที่ถูกวิธี ซึ่งจะเป็นการรักษารอยสิวที่ตรงจุดและใช้เวลาน้อยกว่า การพยายามรักษาด้วยการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง และการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ถ้าหากศึกษาข้อมูลไม่ดีอาจจะทำให้เกิดการแพ้และทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิมได้