บุหรี่มวนดั้งเดิม (Cigarette) ตัวช่วยลดเครียด ที่มาพร้อมกับความเสี่ยง

บุหรี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนทำงานหลายคน เพราะทุกวันของการทำงาน จะมีความกดดันในรูปแบบต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาทุกวัน เพื่อให้สามารถก้าวข้ามทุกปัญหาไปได้ ต้องใช้สติ สมาธิ และอารมณ์ที่ดี เพื่อให้สามารถทำงานทุกอย่างให้ลุล่วงได้ ซึ่งการคลายเครียดของแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นนั่งสมาธิ, เคี้ยวหมากฝรั่ง, ออกไปเดินสูดอากาศ ยืดเส้นยืดสาย หรือสูบบุหรี่

การสูบ บุหรี่ เป็นวิธีการคลายเครียด ช่วยเพิ่มสมาธิ ในการทำงานได้เช่นกัน โดยสารที่มีส่วนช่วยปรับอารมณ์นั้น คือ นิโคติน ที่อยู่ในยาสูบ ซึ่งเป็นไส้ที่อยู่ในบุหรี่นั่นเอง แม้บุหรี่จะช่วยคลายเครียด เป็นตัวช่วยของคนทำงาน แต่มันก็แฝงไปด้วยผลข้างเคียงต่าง ๆ ต่อร่างกายของเรา รวมไปถึงคนรอบข้างด้วย โดยในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับบุหรี่มวนดั้งเดิม ตัวช่วยลดเครียด ที่มาพร้อมกับความเสี่ยง

บุหรี่มวน

ประวัติความเป็นมาของบุหรี่

ต้นกำเนิดของบุหรี่มาจากชนเผ่าอินเดียนแดง กลุ่มชนพื้นเมืองที่ลงหลักปักฐานอยู่ที่ทวีปอเมริกา ที่ใช้ใบไม้เป็นตัวที่ใช้ในการพันยาสูบ จากนั้นจุดไฟบริเวณปลายมวน แล้วดูดเอาควันจากยาสูบเข้าไป เหมือนการสูบบุหรี่ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของยาสูบ ที่ถูกค้นพบโดยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้บุกเบิกทวีปอเมริกา จากนั้นแนวคิดเรื่องยาสูบก็ถูกนำไปเผยแพร่ และพัฒนาต่อยอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

สำหรับประเทศไทย ถูกบันทึกไว้ว่ามีการใช้ยาสูบตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากจดหมายเหตุลาลูแบร์ โดยรับยาสูบมาจากประเทศจีน และมีการปลูกเองภายในประเทศ โดยบริษัทแรกที่เริ่มการผลิตบุหรี่ด้วยมือเปล่า เริ่มเมื่อปี พ.ศ.2460 และจากนั้นได้มีการนำเข้าเครื่องจักรในการผลิตจากประเทศเยอรมนี ถัดมาในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลในสมัยนั้นได้เริ่มก่อตั้งโรงงานยาสูบจากห้างหุ้นส่วนบูรพายาสูบ นำมาสู่โรงงานยาสูบในปัจจุบัน

ประวัติความเป็นมาของบุหรี่

บุหรี่มวน ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

สำหรับคนสูบบุหรี่อาจจะเคยเห็นมวนบุหรี่จนชินตาแล้ว แต่อาจจะไม่ทราบว่าบุหรี่มวนที่สูบอยู่นั้น มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ซึ่งบุหรี่มวนที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้

  1. กระดาษห่อ : กระดาษที่ใช้ในการม้วนยาสูบ เพื่อให้สามารถสูบได้ง่าย
  2. ก้นกรองบุหรี่ : ทำมาจากใยสังเคราะห์ ซึ่งมีหน้าที่ในการดูดซับความชื้น และกรองควันบุหรี่ที่เกิดจากน้ำมันดิน หรือที่เรียกว่า ทาร์
  3. สารสำหรับสูบ หรือยาสูบ : เป็นใบยาสูบที่อยู่ในบุหรี่ ซึ่งผ่านกระบวนการทางเคมี มีการปรุงแต่งใส่สารต่าง ๆ เข้าไป เช่น นิโคติน

บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวนจริงหรือไม่

บุหรี่ไฟฟ้า เป็นบุหรี่แบบใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากบุหรี่มวนธรรมดา เพื่อพยายามลดข้อเสียที่มีอยู่ในบุหรี่มวน เช่น กระบวนการทำงานของบุหรี่มวน คือ การเผาไหม้ของยาสูบ ทำให้เกิดควัน ซึ่งผู้สูบจะไม่ได้รับแค่นิโคติน แต่จะมีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้อีกด้วย

ในขณะที่กระบวนการทำงานบุหรี่ไฟฟ้า นั่นคือการเพิ่มความร้อนเข้าไปยังน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่มีส่วนผสมของนิโคติน ทำให้เกิดไอน้ำ และทำการสูบเข้าไปเหมือนบุหรี่ทั่วไป ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าจะไม่มีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง

อย่างไรก็ตาม จะเป็นบุหรี่ หรือบุหรี่ไฟฟ้า ก็ยังมีสารนิโคตินอยู่ ซึ่งสารนิโคตินก็ยังถือว่าเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกายเช่นกัน หากเสพในปริมาณที่มากเกินขนาด ดังนั้นสรุปได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจจะปลอดภัยกว่าบุหรี่มวนทั่วไปก็จริง แต่ขึ้นชื่อว่า บุหรี่ ก็ยังคงมีความอันตรายอยู่

บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวนจริงหรือไม่

ผลกระทบต่อสุขภาพจากบุหรี่

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น บุหรี่จะส่งผลต่อเสียให้กับผู้สูบหลายข้อ โดยสิ่งที่เห็นชัด คือ กลิ่นบุหรี่ที่ติดตัวมาส่งผลต่อบุคลิกภาพ สร้างความรำคาญให้แก่คู่สนทนา ที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คนไม่สูบบุหรี่จะไม่ชอบกลิ่นบุหรี่

และแน่นอนว่าบุหรี่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเรา การสูบบุหรี่จะทำให้

  1. ฟัน และเหงือกดำ จะผลของนิโคติน
  2. ริมฝีปากแห้ง
  3. มีกลิ่นปาก เพราะปริมาณน้ำลายในปากที่ลดลง ส่งผลต่อการชะล้างแบคทีเรียในช่องปาก

ซึ่งผลกระทบดังกล่าว เป็นเพียงแค่ผลกระทบทางกายภาพที่สามารถเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ และบุคลิกภาพ

ผลกระทบต่อสุขภาพจากบุหรี่

บุหรี่ และความเสี่ยงการเป็นโรคต่าง ๆ

บุหรี่ส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งภายนอก และภายในร่างกาย ควันที่สูบเข้าร่างกาย มีทั้งนิโคติน และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งจะส่งผลต่ออวัยวะภายในของเรา ซึ่งการรับสารเหล่านี้เข้าไปมาก ๆ จะทำให้อวัยวะภายในผิดปกติ นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น

  1. โรคมะเร็งปอด
  2. โรคถุงลมโป่งพอง
  3. โรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือด
  4. ความดันโลหิตสูง
  5. สมองเสื่อม
  6. โรคเบาหวาน

ซึ่งแต่ละโรค ล้วนเป็นโรคอันตรายอย่างมาก ดังนั้นการควบคุมปริมาณการสูบให้น้อยที่สุด สูบเท่าที่จำเป็น หรือไม่สูบบุหรี่เลย จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อร่างกายของเรา

สรุป

แม้ว่าบุหรี่จะมีความจำเป็นสำหรับหลาย ๆ คนที่ต้องทำงานหนัก ต้องการสมาธิ เพื่อให้สามารถทำงานได้ แต่สุขภาพเป็นสิ่งที่ควรคำนึงก่อนเรื่องงาน และเงิน เพราะแม้จะหาเงินได้มากแค่ไหน แต่หากอมโรคจากการสูบบุหรี่ สุดท้ายเงินที่ได้ก็ต้องนำมาจ่ายค่ารักษา ค่ายา อยู่ดี

ซึ่งบุหรี่นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับผู้สูบเท่านั้น แต่คนรอบข้างต่างก็ได้ผลกระทบ ควันบุหรี่ที่เราพ่นออกมา ผู้ที่สูดดมเข้าไป หรือที่เรียกว่าบุหรี่มือสอง จะสร้างผลกระทบรุนแรงมากกว่าผู้สูบอีก ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของตนเอง และคนที่เรารัก การเลิกสูบบุหรี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด