ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เติมร่องลึกระหว่างคิ้วให้กลับมาอ่อนเยาว์

ฟิลเลอร์หน้าผาก

สำหรับบางคน หน้าผากถือว่าเป็นส่วนสำคัญของใบหน้า เพราะหากมีริ้วรอยในบริเวณดังกล่าว ย่อมหมายถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้โหงวเฮ้งไม่ดีอีกด้วย ทางการแพทย์จึงแนะนำให้แก้ปัญหาด้วยการใช้ฟิลเลอร์หน้าผาก ในการเติมหน้าผากให้เต่งตึง เรียบเนียน กลับมาสวยใส ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่เป็นอันตราย มีความปลอดภัย โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ หรือสามารถหายได้เองในเวลาไม่กี่วัน จึงทำให้หลายคนนิยมฉีดฟิลเลอร์หน้าผากกัน



ฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร?

ฟิลเลอร์หน้าผาก (Forehead filler) เป็นกระบวนการทางการแพทย์สำหรับเสริมความงาม โดยใช้fillerหน้าผาก เพื่อเปลี่ยนขนาดของหน้าผาก ให้ดูเต่งตึง สมบูรณ์ ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก มีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากนี้ เป็นการเสริมความงามที่ปลอดภัย เพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน แต่ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดหน้าผาก เพื่อป้องกันอาการแพ้หรือความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้


ทำไมถึงต้องฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 

เพราะการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นการเสริมความงาม ซึ่งเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ทำให้หลายคนสนใจฟิลเลอร์หน้าผากกันมาก แต่ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น

  • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นการปรับรูปร่างของหน้าผาก เติมหน้าผากให้เต่งตึง เรียบเนียน สมบูรณ์ อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
  • เป็นการลดขนาดของแก้มให้เล็กลง เพราะบางคนมีเนื้อแก้มค่อนข้างมาก ดังนั้น ฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยเพิ่มความสมส่วนของใบหน้าให้มากยิ่งขึ้น
  • บางครั้งยังเป็นการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากโหงวเฮ้งอีกด้วย เพราะเป็นการปรับรูปทรงภาพรวมของใบหน้า ให้มีความอิ่มเอิบ สมบูรณ์ตามโหงวเฮ้ง
  • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่มีความเสี่ยง ไม่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน ไม่ทิ้งรอยแผลผ่าตัด ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ เรียบเนียน

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอันตรายไหม ?

ฉีดหน้าผากอันตรายไหม

ฉีดหน้าผากอันตรายไหม ตามข้อมูลข้างต้น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากไม่ใช่การผ่าตัด เป็นเพียงการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเท่านั้น ดังนั้น จึงมีความปลอดภัยสูง แต่ทั้งนี้ ก็ยังมีความเสี่ยงในบางเรื่อง เช่น

  • บางรายอาจจะมีอาการแพ้ต่อสารในฟิลเลอร์หน้าผาก ทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นมาได้
  • ได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ
  • เกิดการติดเชื้อจากขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบได้

โดยความเสี่ยงข้างต้น ล้วนแต่มาจากหลาย ๆ ปัจจัย ได้แก่

  • ประสบการณ์ ความชำนาญของแพทย์ผู้ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
  • คุณภาพของฟิลเลอร์หน้าผาก
  • ปริมาณของฟิลเลอร์หน้าผาก
  • บริเวณทำการรักษา
  • การดูแลหลังการฉีดfillerหน้าผาก
  • สถานพยาบาลไม่สะอาด หรือปลอดเชื้อเท่าที่ควร

ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอันตรายไหม ก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย หากเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้ฟิลเลอร์หน้าผากของแท้ในปริมาณพอเหมาะ ฉีดถูกขั้นตอน ก็ย่อมปลอดภัย ไม่ต้องกังวลอันตรายใด ๆ 


ใครบ้างที่ควรฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นการแก้ปัญหา ทำให้หน้าผากเต่งตึง ซึ่งทุกคนก็สามารถฉีดfillerหน้าผากได้ทุกคน แต่ผู้ที่เหมาะจะเติมหน้าผากได้แก่

  • ผู้มีริ้วรอยบนหน้าผาก ซึ่งต้องการให้หน้าผากเรียบเนียน
  • ผู้มีหน้าผากบุ๋มลงไป จึงต้องการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อความเต่งตึง
  • ผู้มีคิ้วตก ทำให้แลดูเป็นผู้สูงอายุ จึงต้องการเติมฟิลเลอร์หน้าผากให้ดูอ่อนเยาว์ลง
  • ผู้ต้องปรับแต่งหน้าผากให้เป็นไปตามโหงวเฮ้ง ด้วยการฟิลเลอร์หน้าผากโหงวเฮ้ง
  • ผู้ไม่พึงพอใจ ต้องการปรับเปลี่ยนขนาดของหน้าผากให้สมส่วนกับใบหน้า
  • ผู้ต้องการลดขนาดแก้ม ด้วยการเติมหน้าผากให้มากขึ้น

การปฏิบัติตัวในการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ฉีดfillerหน้าผาก

เมื่อเราต้องการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแล้ว อันดับแรกคือ การทราบข้อปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงกับความต้องการ เราจึงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ก่อนจะเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เราจะต้องเตรียมตัวตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก โดยจะต้องมีประสบการณ์ ความชำนาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งอาจจะหาข้อมูลจากสื่อออนไลน์ คำแนะนำจากผู้เคยใช้บริการ
  2. เตรียมการนัดหมาย เพื่อให้แพทย์ประเมินลักษณะของหน้าผาก รวมถึงแจ้งให้แพทย์ทราบความต้องการของตนเอง อีกทั้งควรแจ้งประวัติการรักษา อาการแพ้ต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์ใช้ประกอบการวางแผนการรักษาฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
  3. งดรับประทานยาบางประเภท เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาต้านการจัดการกล้ามเนื้อ เป็นต้น หากจำเป็นต้องรับประทาน ก็ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเหมาะสมในการหยุดใช้ยาเหล่านี้ ก่อนการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
  4. หยุดการรับประทานวิตามิน รวมถึงอาหารเสริม ก่อนการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
  5. บริหารจัดการกิจกรรมต่าง ๆ หลังการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เช่น หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมต้องแรง 
  6. ควรอาบน้ำ ทำความสะอาดในบริเวณหน้าผากให้สะอาดก่อนมาฉีดfillerหน้าผาก

หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

เมื่อเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้เป็นไปตามความต้องการ โดยปฏิบัติตัว ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณหน้าผาก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์หน้าผากเคลื่อนตัวจากบริเวณหน้าผากได้
  2. หากมีอาการบวม แนะนำให้ใช้ถุงน้ำแข็งหรือผ้าเย็นประคบบริเวณดังกล่าว หรืออาจจะรับประทานยาลดอาการบวม (anti-inflammatory medication) ตามคำแนะนำของแพทย์
  3. หลีกเลี่ยงการเสริมความงามทางด้านอื่น ๆ ชั่วคราว เพื่อลดการสัมผัสบริเวณหน้าผาก เช่น การสครับผิว การอบไอน้ำ เป็นต้น
  4. ควรรักษาความสะอาดของผิวหน้า โดยใช้น้ำอุ่น สบู่อ่อน ๆ หลีกเลี่ยงการล้างหน้าหรือสัมผัสอย่างรุนแรง
  5. ควรใช้ครีมกันแดด UV สูงเพื่อปกป้องผิวหน้าจากรังสีแสงแดด รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณร้อนจัด
  6. หมั่นสังเกตผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากว่า เกิดอาการผิดปกติหรือไม่
  7. เข้าพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามผลลัพธ์ได้อย่างใกล้ชิด ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ

อาการข้างเคียงที่พบได้หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ?

เติมหน้าผาก

หลังจากฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเรียบร้อยแล้ว ถึงว่า จะเป็นการเสริมความงาม โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้มีความปลอดภัยสูง อัตราในการเกิดความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงต่ำ แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายก็อาจจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นมาได้เช่นกัน เช่น

  • อาการบวมแดงบริเวณหน้าผาก ถือว่าเป็นอาการธรรมดา ปกติ สามารถเกิดขึ้นได้ แล้วจะค่อย ๆ หายไปภายในไม่กี่วัน แต่ถ้าหากบวมมาก ก็จำเป็นต้องรับประทานยาลดบวมหรือยาแก้อักเสบร่วมด้วย
  • อาการแสบร้อนหรือคันบริเวณหน้าผาก โดยแพทย์อาจจะให้ยาหรือครีมมาช่วยลดอาการ
  • หลังจากฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก อาจจะเห็นร่องรอยของการฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้ก็จะหายไปได้เอง แต่แพทย์ก็อาจจะให้ครีมมาทาลดรอยดังกล่าว
  • บางรายอาจจะรู้สึกเจ็บภายใน ซึ่งเป็นส่วนของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าผาก แต่อาการนี้ก็เป็นแบบชั่วคราว สามารถรับประทานยาแก้ปวดที่ผสมการคลายกล้ามเนื้อ  (muscle relaxants) หรือยาแก้อักเสบ เพื่อช่วยบรรเทาอาการได้
  • อาจมีอาการคลื่นไส้ หลังจากฉีดฟิลเลอร์หน้าผากได้ แต่อาการนี้ก็จะหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือ 1-2 วัน โดยเราสามารถดื่มน้ำให้มากขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์หน้าผาก

ฟิลเลอร์หน้าผากเองก็มีคำถามที่หลายคนยังสงสัย ซึ่งมีคำถามพบบ่อยสอบถามมาดังนี้

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากต่างจากฉีดไขมันหน้าผากอย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากและการฉีดไขมันหน้าผากต่างเป็นเทคนิคเสริมความงามบริเวณหน้าผากทั้งคู่ แต่มีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้

  • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากให้ปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่างของหน้าผาก เติมหน้าผากให้เต่งตึง สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที โดยเราสามารถควบคุมรูปทรงหน้าผากได้ตามความต้องการ
  • การฉีดไขมันหน้าผากเป็นการผ่าตัดหรือดูดไขมันจากบริเวณอื่นของร่างกาย นำมากรอง ก่อนจะฉีดลงในบริเวณหน้าผาก โดยเรียกว่า “lipofilling” หรือ “fat grafting” จะเห็นผลมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ อีกทั้งยังลดการเกิดผลข้างเคียงอีกด้วย เพราะเป็นการไขมันจากร่างกายของตัวเอง จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ในระยะยาว

ฟิลเลอร์หน้าผาก ฉีดแล้วมีโอกาสเป็นก้อนไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากมีโอกาสจะเป็นก้อนในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือว่าเป็นปกติ สามารถเกิดขึ้นได้ แต่มักจะเป็นก้อนเล็ก ไม่ค่อยมีความรุนแรง ดังนั้น เราจึงควรระมัดระวัง ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดโอกาสในการเกิดก้อน แต่ถ้าหากเกิดก้อนขึ้นมา และไม่มีทีท่าว่าจะหายได้เอง ก็ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาทันที

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอยู่ได้นานแค่ไหน ?

โดยปกติ ฟิลเลอร์หน้าผากจะให้ผลลัพธ์เป็นระยะเวลาประมาณ 6-12 เดือน หลังจากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หากผู้ใดต้องการผลลัพธ์ยาวนานกว่านั้น ก็จำเป็นต้องเข้ามาฉีดหน้าผากอย่างสม่ำเสมอ แต่ทั้งนี้ ระยะเวลาของผลลัพธ์เองก็ขึ้นอยู่กับว่า เราใช้ฟิลเลอร์ประเภทใด ปริมาณเท่าไร รวมถึงการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนด้วย


สรุปฟิลเลอร์หน้าผาก

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นการเติมหน้าผากให้เต่งตึง เป็นการแก้ปัญหาสำหรับผู้มีหน้าผากบุ๋มลงไป คิ้วตก รวมถึงริ้วรอยต่าง ๆ ดังนั้น จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้ฟิลเลอร์หน้าผาก ซึ่งช่วยให้หน้าผากกลับมาเรียบเนียน เต่งตึง เปลี่ยนรูปทรงใบหน้าตามความต้องการ มีความเป็นธรรมชาติ แถมยังถูกหลักตามโหงวเฮ้งอีกด้วย ที่สำคัญ เป็นการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์และสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย