ฝ้าตรงโหนกแก้ม สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้จริงหรือไม่

ฝ้าตรงโหนกแก้ม

ด้วยปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน การเกิดมลภาวะต่าง ๆ มักจะก่อให้เกิดปัญหาที่ตามมามากมาย ทั้งสภาพผิวหนังที่ได้รับผลกระทบจากแสงแดดที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในปัญหาสภาพหนักใจของผู้หญิงจากทั่วทุกที่ ก็คือ การเกิดปัญหาฝ้า ในบริเวณต่าง ๆ ดังเช่น ฝ้าตรงโหนกแก้ม ฝ้าตรงบริเวณขมับ เป็นต้น ด้วยมักพบรอยเป็นสีดำ หรือรอยฝ้าสีน้ำตาลอย่างเด่นชัด ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ผู้เป็นปัญหาฝ้าดังกล่าวมักไม่มีความมั่นใจ มีความกังวลต่อการใช้ชีวิต เพื่อเป็นการป้องกันพร้อมกับการหลีกเลี่ยง และการรักษาฝ้าให้ถูกวิธี จะช่วยให้ท่านได้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตด้วยสภาพผิวที่สดใสในระยะยาวได้อย่างมั่นใจ


ฝ้าขึ้นตรงโหนกแก้ม ลักษณะอาการที่สามารถสังเกตได้อย่างไรบ้าง

ลักษณะของฝ้าแต่ละชนิด

คือ ภาวะของความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งได้ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ  จนก่อให้เกิดรอยสีดำ สีน้ำตาลเข้ม บางท่านอาจจะเป็นรอยสีน้ำตาลอ่อนในบริเวณผิวหนังของเรา จนมีปริมาณมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะด้วยลักษณะรอยเป็นปื้น หรือเป็นรอยสีน้ำตาลเข้มเป็นกระจุกในชั้นผิวหนังบริเวณใบหน้าที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ จะมองเห็นฝ้าได้ด้วยตาเปล่า ฝ้ามักปรากฏในบริเวณต่าง ๆ ดังเช่น ฝ้าตรงใบหน้า ฝ้าตรงคาง ฝ้าตรงโหนกแก้ม ฝ้าตรงหน้าผาก ฝ้าตรงจมูก ฝ้าตรงเหนือริมฝีปากบน เป็นต้น

ผู้ที่เป็นปัญหาฝ้าในบริเวณผิวหนังบนใบหน้าจะพบได้ในผู้ที่อายุตั้งแต่ 30 – 40  ปีขึ้นไป สามารถพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ปัญหาฝ้าเองจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดฝ้า จะมีด้วยกันดังนี้ 

  • จากการไม่ดูแลรักษาสภาพผิวหนังไม่ถูกวิธี 
  • บางท่านอาจเกิดจากการรับรังสี UV จากแสงแดดมากกว่าปกติ 
  • ในบางท่านอาจเกิดจากการแพ้สารเคมีบางชนิดจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ 
  • การทานยาคุมกำเนิด
  • ภาวะฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การตั้งครรภ์ วัยทอง วัยหมดประจำเดือน 

ฝ้าตรงโหนกแก้มเกิดขึ้นได้อย่างไร มีลักษณะอาการอย่างไรบ้าง 

สาเหตุของการก่อให้เกิดฝ้าตรงโหนกแก้มนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดจากปัจจัยภายนอกร่างกายมากกว่าภายใน ทั้งการสัมผัสกับมลภาวะฝุ่น สัมผัสกับอากาศที่เป็นพิษ โดนรังสี UV จากแสงแดด รวมถึงสภาพอากาศที่ร้อนอย่างรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน จนเกิดการระคายเคืองต่อสภาพผิวหนังบริเวณใบหน้าและผิวหนังในที่ต่าง ๆ บางท่านอาจจะเกิดการอักเสบของผิวหนัง แต่ในบางรายสาเหตุแฝงที่มาพร้อมกับการก่อให้เกิดที่มาของฝ้าตรงโหนกแก้มอาจเกิดจากการเกิดสิวผดผื่น สิวหัวดำ สิวหัวขาว รอยสิวได้อีกด้วย

รวมทั้งการบำรุงรักษาสภาพผิวที่ไม่ตรงจุดก็อาจจนนำมาสู่การเป็นฝ้าบริเวณที่ต่าง ๆ เช่นบริเวณใบหน้า จมูก ผ้าตรงโหนกแก้ม ได้นั้นเอง  รวมถึงปัจจัยภายในร่างกายเองก็มีส่วนที่ก่อให้เกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน การเกิดบาดแผลในบริเวณผิวหนัง แต่ร่างกายซ่อมแซมในส่วนนั้นได้ไม่ดีพอจนเกิดร่องรอยของแผลให้เห็น เป็นต้น 


ฝ้าตรงโหนกแก้ม มีกี่ประเภท  เป็นฝ้าชนิดใดบ้าง

ฝ้าในบริเวณต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ้าตรงโหนกแก้ม ฝ้าตรงจมูก ฝ้าตรงคาง ฝ้าบริเวณหน้าผาก เราจะสามารถสังเกตประเภทของฝ้าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร ทั้งอาการเริ่มต้นของฝ้าด้วยลักษณะของฝ้าแต่ละชนิด เพื่อหาสาเหตุของการเกิดฝ้า และหนทางในการป้องกันการเกิดฝ้าได้อีกทางหนึ่ง ประเภทของฝ้าสามารถแบ่งได้ดังนี้ 

  1. ฝ้าตื้น : จะเป็นฝ้าที่เกิดได้ง่ายสามารถมองเห็นขอบของฝ้าได้ชัดเจน ด้วยลักษณะสีของฝ้าซึ่งมีน้ำตาลเข้ม มักจะสามารถเกิดฝ้าได้ในบริเวณผิวหนังชั้นกำพร้า โดยฝ้าตื้นนี้สามารถรักษาให้ร่องรอยดูจางลงได้ การป้องกันฝ้าชนิดฝ้าตื้นนี้จะใช้วิธีการรักษาด้วยการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ หรือยารักษาฝ้าจากการรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้นเอง
  1. ฝ้าแดด : เป็นฝ้าที่มีสาเหตุที่เกิดมาจากแสงแดด ฝ้าที่เป็นผลกระทบจากการโดนรังสี UV ในบริเวณผิวหนังบนใบหน้า รวมถึงการถูกแสงจากการเล่นมือถือ , แท็บเล็ต , แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น โดยฝ้าแดดนี้จึงเป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดที่ส่งคลื่นพลังงานลงลึกผิวหนังในชั้นที่ลึกลงจนทำให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดเม็ดสีภายในชั้นผิว
  1. ฝ้าเลือด : จะเกิดจากกระบวนการระบบเลือดในร่างกายของคนเรามีความผิดปกติ บางท่านอาจเกิดจากการรักษาซึ่งใช้ยาเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายทำงานผิดปกติ หากสัมผัสกับแสงแดดเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดฝ้าเลือดเป็นปื้นสีแดงได้นั้นเอง 
  1. ฝ้าลึก : จะเกิดจากสภาพผิวในบริเวณชั้นผิวที่ลึกลงถึงชั้นผิวหนังกำพร้าเกิดความผิดปกติ เกิดรอยปื้นสีอ่อน เช่นสีน้ำตาล สีม่วง สีเทา แต่ไม่สามารถเห็นขอบร่องรอยปื้นของฝ้าที่ชัดเจนได้ โดยฝ้าลึกจะใช้วิธีการรักษาที่ยากกว่าฝ้าชนิดอื่น
  1. ฝ้าผสม :  มักจะพบได้ในหลาย ๆ ท่าน เนื่องจากสภาพผิวหนังของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน จึงอาจเกิดฝ้าที่ผสมกับอยู่ในบริเวณผิวหนัง เช่น ยางจุด เกิดฝ้าลึก ในบางจุดอาจเป็นฝ้าแดด ซึ่งการเกิดฝ้าผสมนี้ จะใช้วิธีการรักษาด้วยหลายวิธีเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้

การเกิดฝ้า หรือฝ้าตรงโหนกแก้ม จะมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้าขึ้นได้อย่างไร

ปัจจัยสาเหตุหลักในการก่อให้เกิดฝ้า ฝ้าตรงโหนกแก้ม ฝ้าจมูก ฝ้าคาง ฝ้าตรงบริเวณหน้าผาก ซึ่งเป็นส่วนในการกระตุ้นให้ปัญหาฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ ๆ ได้นั้น เพื่อให้ท่านสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดฝ้าเหล่านี้ จะมีดังนี้ 

  • การสัมผัสกับแสงแดด ผิวหนังได้รับรังสี UV มากกว่าปกติ จนเกิดผิวไหม้ พร้อมทั้งรังสี UV จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการกระตุ้นในการสร้างเม็ดสีในชั้นผิวมากขึ้นนั้นเอง หากไม่ป้องกันการสัมผัสกับแสงแดดในระยะยาวอาจส่งผลให้ผิวหนังถูกพัฒนาเป็นเนื้อร้ายได้อีกด้วย 
  • ร่างกายความไม่สมดุลในระดับฮอร์โมน บางท่านอาจรับประทานยาคุมกำเนิด หรืออาจเป็นช่วงหมดวัยมีประจำเดือน ก็อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ร่างกายมีความผิดปกติต่อการผลิตเม็ดสีจนก่อเกิดฝ้าชนิดต่าง ๆ ได้
  • วัยอายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยสามารถพบได้ในเพศหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 40 ปีขึ้นไป 
  • พันธุกรรม เนื่องจากการเกิดการถ่ายทอดผ่านทางกรรมพันธุ์ที่มีส่วนให้เกิดการผลิตเม็ดสีผิดปกติ
  • ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิด ทั้งยาโรคประจำตัว ยากันชัก ยาคุมกำเนิด ที่เป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้เซลล์เกิดการผลิตเม็ดสีของร่างกายนั้นเอง

ฝ้าตรงโหนกแก้ม จะมีวิธีการรักษาได้อย่างไรบ้าง

ฝ้าโหนกแก้มรักษายังไง

วิธีการรักษาฝ้าให้ถูกวิธีทั้งมีประสิทธิภาพ ด้วยบริเวณต่าง ๆ ที่อาจเกิดฝ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ้าตรงโหนกแก้ม ฝ้าจมูก ฝ้าบริเวณคาง ล้วนแล้วแต่สร้างความไม่มั่นใจให้แก่ผู้ที่ประสบปัญหาฝ้าได้ ด้วยฝ้าที่พบเจอบ่อยที่สุดอย่างฝ้าตรงโหนกแก้ม ซึ่งบางท่านอาจจะเป็นรอยจุดด่างดำทั้งมีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีดำที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่าชัดเจนได้อีกด้วย วิธีการรักษาที่ถูกต้องตรงกับลักษณะอาการของการก่อให้เกิดฝ้านั้นจะมีดังต่อไปนี้ 

ควรงดกิจกรรมการพบเจอแสงแดด

เนื่องจากการทำกิจกรรมกลางแสงแดดจัด จะก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหนัง ทั้งยังเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดฝ้าได้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่สามารถช่วยป้องกัน พร้อมกับรักษาสภาพของผิวได้จึงเป็นการทาครีมกันแดดให้พอเหมาะ ทั้งยังมีการสวมเสื้อผ้ามีแขนยาว ควรพกร่มที่ช่วยป้องกันรังสี UV โดยช่วงระยะเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดที่ร้อนจัด จะอยู่ในระหว่างเวลาตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 16.00 น. นั้นเอง

ขอเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ / เภสัชกรที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง

เนื่องจากสิ่งสำคัญในการหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดฝ้า การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยลดการกระตุ้นปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดซ้ำ ๆ มากขึ้น เนื่องจากปัญหาการเป็นฝ้าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดจากอาการนี้ได้  การเฝ้าติดตามอาการจากแพทย์จึงเป็นวิธีการที่ป้องกัน ทั้งสามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ทำให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำได้อีกต่อไป ด้วยวิธีการหาต้นเหตุอาการ อย่างเช่น การทานยาคุมกำเนิด การได้รับสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า การแพ้ครีมจากเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เป็นต้น

ใช้ยาทาในการรักษาฝ้า

ในปัจจุบันยารักษาฝ้าจะมีด้วยกันหลากหลายชนิด โดยยาทาเหล่านี้บางชนิดจะช่วยในหยุดยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ยับยั้ง พร้อมกับทำลายการทำให้เอนไซม์ผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้น ยาบางชนิดอาจช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ทำให้ฝ้าดูจางลงแต่ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ในระยะยาว เนื่องจากจะทำสภาพผิวเกิดฝ่อแทรกซ้อนได้นั่นเอง 

การใช้ยาชนิดรับประทานในการรักษาฝ้า

ด้วยการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นราย ๆ ไป จะช่วยให้ท่านปลอดภัยจากการทานยาได้ ซึ่งยาบางชนิดจะช่วยในกระบวนการยับยั้งให้ร่างกายเกิดการผลิตเม็ดสีมากกว่าปกติ โดยมีกระบวนการหลักในการแข็งตัวของเลือด หากเมื่อท่านหยุดทายาจะส่งผลให้ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นกัน ยาบางชนิดเมื่อทานเข้าไปแล้วอาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายของผู้ทานได้เช่นเดียวกัน เช่น ท้องอืด การปวดศีรษะ ในบางท่านอาจส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติได้ เป็นต้น

การรักษาฝ้าด้วยวิธีการอื่น ๆ 

ด้วยวิธีการข้างต้นอาจจะไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ การรักษาฝ้าด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น 

  • การผลัดเซลล์ผิวของส่วนที่เป็นฝ้าด้วยสารเคมีอ่อน ๆ จะช่วยให้เซลล์ผิวผลัดชิ้นส่วนผิวหนังข้างบนออกเร็วขึ้น วิธีนี้จะใช้ควบคู่กับการใช้ยาทาบริเวณที่เป็นฝ้านั้นเอง แต่จะทำให้สภาพผิวในบริเวณนั้นบางลงมากขึ้น ท่านควรทาครีมกันแดดในการป้องกัน รวมถึงหลีกเลี่ยงการพบแสงแดดโดยตรง 
  • การรักษาด้วยวิธีการฉายแสงเลเซอร์ ซึ่งจะเป็นวิธีการรักษาควบคู่กับการใช้ยาทาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่พบผลสำเร็จในการรักษาฝ้าให้หายได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเลเซอร์บางชนิดจะก่อให้เกิดรอยแผลอักเสบของผิวหนังได้รวมถึงหากตั้งค่าพลังงานเลเซอร์ไม่เหมาะสมอาจส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์ที่มีส่วนในการผลิตเม็ดสีอย่างถาวรได้นั้นเอง

วิธีการป้องกันฝ้าตรงโหนกแก้มให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

ฝ้าที่หน้ามีแบบไหนบ้าง

การป้องกันการเกิดฝ้า สิ่งที่ท่านควรปฏิบัติมากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการก่อเกิดฝ้าในจุดต่าง ๆ บนบริเวณผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นฝ้าตรงโหนกแก้ม ฝ้าจมูก ฝ้าที่คาง ฝ้าตรงหน้าฝาก วิธีการป้องกันฝ้าที่ดีที่สุด จะมีด้วยกันดังนี้ 

  • ท่านควรหลีกเลี่ยงการออกกิจกรรมกลางแจ้งที่มีสภาพอากาศที่ร้อนจัด มีแสงแดดที่รุนแรงจนสามารถทำร้ายต่อสภาพผิวได้ 
  • ควรใช้การทาครีมกันแดดทุกครั้งในปริมาณที่เหมาะสมต่อการป้องกันผิวหนังก่อนออกทำกิจกรรมที่มีแดดจัด
  • ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัจจัย หรือตัวกระตุ้นซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการระคายเคืองต่อผิวจนก่อให้เกิดฝ้าได้ 
  • หากท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้รับการทานยาคุมกำเนิด บางรายอาจเป็นผู้ทานยาฮอร์โมนทดแทน ควรพิจารณาในการหยุดยา เพื่อลดอัตราการเกิดฝ้าที่ตามมาได้ 
  • หากท่านต้องการรักษาอาการฝ้าให้หายเป็นปกติ ท่านควรขอเข้ารับคำปรึกษาต่อแพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญ หรือสามารถขอคำปรึกษากับเภสัชกรให้ถูกต้อง เพื่อให้สามารถทำตามคำแนะนำในการหยุดยั้งการเกิดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • ก่อนการซื้อยาทารักษาฝ้า ท่านควรอ่านฉลากสินค้า แหล่งที่มาของการผลิต เพื่อสามารถช่วยให้ท่านได้ใช้ยาที่ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัย ช่วยให้ท่านไม่ต้องพบเจอเหตุสุดวิสัย ซึ่งอาจจะพบเจอยาทาที่มีส่วนผสมอันตรายต่อผิวหนังได้นั้นเอง
  • ท่านควรรักษาฝ้าด้วยวิธีการที่ถูกต้อง พร้อมกับบำรุงผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสามารถป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าขึ้นได้นั้นเอง

สรุปฝ้าตรงโหนกแก้มควรป้องกันอย่างไร

อาการฝ้าต่างก็เป็นปัญหาที่ใครหลายคนต่างไม่อยากเจอ เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านได้เจอปัญหาฝ้าบุกในบริเวณผิวหนัง สิ่งสำคัญที่ท่านควรทำเป็นอย่างแรกคือการทำความเข้าใจถึงลักษณะของการเกิดฝ้า ชนิดของฝ้าที่เป็น ไม่ว่าจะเป็นฝ้าบริเวณต่าง ๆ เช่น ฝ้าตรงโหนกแก้ม ฝ้าจมูก ฝ้าบริเวณคาง เป็นต้น เพื่อช่วยให้ท่านได้หลีกเลี่ยงสาเหตุของการเกิดฝ้าได้ ช่วยให้ท่านรับมือกับปัญหาฝ้าได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่จะช่วยให้ท่านลดการเกิดฝ้าซ้ำได้นั้นเอง