ฝ้ารักษาได้ เคล็ดลับรับมือกับปัญหาฝ้าเผยผิวหน้าใส ทวงคืนความมั่นใจ
หนึ่งในปัญหาผิวเด่น ๆ ที่ใครหลายคนมีโอกาสเป็นได้ในสภาพอากาศเมืองร้อนแบบนี้นั่นก็คือ ฝ้า ปัญหาผิวหน้าพากังวลหมดความมั่นใจทั้งเพศหญิงและเพศชาย โดย ฝ้า ถือว่าเป็นปัญหาผิวประเภทไม่อันตราย มีวิธีการรักษามากมายให้จางลงเหมือนหายได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ฝ้านั้นมีหลายชนิดด้วยกัน และฝ้าแต่ละชนิดเองก็ต้องการวิธีดูแลรักษาที่ต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักฝ้า เตรียมปกป้องผิวหน้าของเราให้เนียนใสไกลฝ้า กระ จุดด่างดำอย่างถูกต้องกันดีกว่า
ฝ้าคืออะไร เจาะลึกเรื่องฝ้าที่เกิดขึ้นได้บนใบหน้า
ฝ้า (Melasma) คือผิวส่วนที่ดำและคล้ำเสียจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสี ซึ่งฝ้าสามารถพบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะช่วงระหว่างใกล้ตั้งครรภ์หรือกำลังรักษา ต้องทานยาที่มีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ฝ้าพบเห็นได้บ่อย อย่าง ฝ้าที่หน้า ฝ้าตรงโหนกแก้ม ลักษณะเป็นสีน้ำตาล บ้างโทนอ่อนและบางชนิดเป็นโทนเข้ม
ฝ้าเกิดขึ้นได้จากอะไร? สาเหตุของการเกิดฝ้า คือเกิดขึ้นได้จาก เมลานิน ซึ่งเป็นเซลล์ผลิตเม็ดสี ถูกกระตุ้นโดยแสงแดด รังสี แสงจากหน้าจอ ทำให้สร้างเม็ดสีเข้มที่มากเกินความจำเป็น หรือปัจจัยอื่นที่ช่วยกระตุ้นการเกิดฝ้า อย่างการทานยาที่มีผลโดยตรงกับฮอร์โมน ฝ้าสามารถลุกลาม ขยายพื้นที่รอยปื้นจนเป็นปัญหาใหญ่ได้หากชะล่าใจไม่รีบรักษา
ฝ้ามีกี่ชนิด รู้ทันประเภทของฝ้าเพื่อรับมือให้ถูก
ฝ้ามีอยู่หลายชนิดและสาเหตุการเกิดด้วยกัน ฝ้าแต่ละประเภทต้องได้รับการดูแลรวมถึงวิธีการรักษาที่ต่างกันออกไป อย่างฝ้าแดดที่เกิดจากรังสียูวีกระตุ้นเม็ดสี แสงสีฟ้าจากหน้าจอ หรือฝ้าเลือดที่จัดเป็นฝ้าฮอร์โมน โดยฝ้าสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ตามนี้
ฝ้าลึก (Dermal type)
ฝ้าลึกเป็นฝ้าที่เกิดขึ้นอยู่ในชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งอยู่ลึกลงไปกว่าชั้นผิวหนังกำพร้า โดยฝ้าประเภทนี้เรียกว่ารักษาได้ยาก มองแล้วจะมีลักษณะขอบไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ฝ้าลึกจะมีสีโทนอ่อน น้ำตาลอ่อน เทาอ่อน หรือม่วงอ่อน
ฝ้าตื้น (Epidermal type)
ฝ้าชั้นผิวหนังกำพร้าหรือผิวหนังชั้นนอก เป็นประเภทฝ้าที่รักษาง่ายที่สุดและเห็นขอบเขตชัดเจน โดยสามารถใช้ครีมทาฝ้าหรือครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว ลดความเข้มของเม็ดสี โดยฝ้าชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม มองเห็นขอบได้ชัดเจน
ฝ้าผสม (Mixed type)
ฝ้าผสม เข้าใจได้ง่าย ๆ คือเป็นฝ้าแบบผสมของฝ้าตื้นกับฝ้าลึก ซึ่งต้องใช้วิธีการรักษาที่ครอบคลุมจากฝ้าทั้งสองประเภท โดยลักษณะของฝ้าชนิดนี้จะมีสีที่เข้มแต่ขอบจาง ฝ้าผสมสามารถพบได้มากที่สุดในกลุ่มคนที่มีปัญหาฝ้า
ฝ้าเกิดขึ้นได้ง่าย มาทำความรู้จักกับปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า
- แสงแดด
การให้ผิวของเราได้สัมผัสแสงแดดในช่วงเช้าจะมอบวิตามินดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว รังสียูวีในแสงแดดยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีในชั้นผิวของเราทำให้เกิดฝ้าได้อีกด้วย การอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานหรือสัมผัสกับแสงแดดโดยไม่ทาครีมกันแดดป้องกันจะทำร้ายผิวหนังของเราในระยะยาว ไม่ว่าจะเร่งการเกิดฝ้า ผิวหมองคล้ำ ผิวไหม้เสีย หรือร้ายแรงที่สุดคือเซลล์ผิวหนังถูกทำร้ายจนกลายเป็นมะเร็งผิวหนังนั่นเอง นอกจากรังสีจากธรรมชาติแล้ว แสงจากหน้าจอก็สามารถกระตุ้นเม็ดสีฝ้าเหมือนกัน
- ฮอร์โมน
ฮอร์โมนที่ไม่สมดุล นอกจากจะสามารถก่อให้เกิดสิวประเภทสิวฮอร์โมนแล้ว ยังสามารถทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้เช่นกัน อย่างผู้ที่อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือนแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดซึ่งส่งผลโดยตรงต่อฮอร์โมนโดยซึ่งทำให้การสร้างเม็ดสีของเรานั้นผิดปกติจนหน้าเป็นฝ้า
- พันธุกรรม
ฝ้า เป็นปัญหาผิวที่พบในเพศหญิงได้มากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนช่วงวัยเลข 3 ขึ้นไป ซึ่งนอกจากในเรื่องความต่างระหว่างเพศแล้ว การถ่ายทอดทางพันธุกรรมเกือบ 50% ยังสามารถส่งต่อฝ้าที่เกิดจากร่างกายผลิตเม็ดสีมากเกินไปได้อีกด้วย
- ผลข้างเคียงจากโรค
ผลข้างเคียงจากโรคอื่น ๆ ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะโรคประจำตัวที่ส่งผลโดยตรงต่อฮอร์โมนอย่างโรคเกี่ยวกับระบบต่อมต่าง ๆ ซึ่งยาที่ใช้ทานรักษาโรคและมีผลข้างเคียงต่อระดับของฮอร์โมนในร่างกายก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวของเราเกิดฝ้าขึ้น ผู้ที่มีการทำงานของตับผิดปกติหรือขาดวิตามินบี 12 ก็มีแนวโน้มเกิดฝ้าได้ง่าย
- เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางที่มีฮอร์โมนเป็นส่วนผสม สารสกัดจากรก หรือมีไฮโดรควินโนนเป็นส่วนประกอบ การใช้เครื่องสำอางเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวหน้าของเรานั้นเกิดรอยดำคล้ำเหมือนคนเป็นฝ้ารวมทั้งกระตุ้นเม็ดสีฝ้าให้เกิดขึ้นได้ง่าย
- ยาบางชนิด
ยารักษาโรคบางชนิด ยาที่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย อย่างเช่นยาคุมกำเนิดหรือยากันชัก จะกระตุ้นให้ผิวหนังของเราเกิดการผลิตเม็ดสีที่มากขึ้น โดยผู้คนส่วนมากที่ใช้ยาทั้งสองชนิดดังกล่าวมักจะมีฝ้าเกิดขึ้นตามใบหน้า
ฝ้าจัดการยังไง? ฝ้าจางลงได้ถ้ารักษาอย่างถูกวิธี
รักษาฝ้าอย่างไรให้ถูกวิธีและเห็นผลว่าฝ้าจางลงได้จริง? การรักษาปัญหาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เราสามารถดูแลอาการผิวหน้าของเราเองได้ หรือไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีจัดการกับฝ้าดังนี้
- ใช้ครีมบำรุงลดเลือนลอยฝ้าและยับยั้งการเกิดเม็ดสีด้วยครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ วิตามินซี ไวเทนนิ่ง และอาร์บูติน
- ใช้ยาทาภายนอกยาทารักษาฝ้าภายนอกมีอยู่หลายแบบด้วยกัน ยาผลัดเซลล์ผิว ยาลดการสร้างเม็ดสีฝ้า ยาทำลายการสร้างเม็ดสีฝ้า หรือยาที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ซึ่งวิธีรักษาแบบยาทาควรอยู่ในการดูลของแพทย์
- เลเซอร์ฝ้า เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาฝ้าสุดฮิตตามคลินิกหรือโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยจะใช้พลังงานความยาวคลื่นเฉพาะจากแสงปรับสภาพผิวที่เป็นฝ้า
- ผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกโดยสารเคมี วิธีนี้ต้องให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นทำการรักษา เพราะอาจเกิดความเสี่ยงทำให้เกิดแผลเป็นถาวรได้
- จัดการฝ้าโดยการฝังเข็มรักษา จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีฝ้าและลดการกระจายตัวของฝ้าได้ทั่วบริเวณใบหน้าอย่างปลอดภัย
รับมือฝ้าให้ถูกกับวิธีการป้องกันฝ้าแบบเห็นผล
- ทาครีมกันแดดให้สม่ำเสมอทุกครั้งก่อนออกไปเจอแดด อย่างน้อย 30 นาที โดยเลือกครีมที่มีค่า SPF30+ และ PA++ ขึ้นไปปกป้องผิว โดยควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง
- เพราะแสงแดดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ควรสวมหมวก หรือกางร่มเพื่อป้องกันรังสียูวีในแสงแดด
- หลีกเลี่ยงการทานยาที่ส่งผลต่อฮอร์โมนซึ่งกระตุ้นให้เกิดฝ้า อย่างเช่น ยาคุมกำเนิด
- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจมีส่วนผสมของสารปรอท หรือสารเคมีที่ทำร้ายผิว ก่อให้เกิดฝ้า
- หมั่นดูแลผิวหน้าอยู่เสมอ ไม่ว่าบำรุงด้วยครีมหรือเซรั่มลดฝ้าเพื่อเสริมเกราะป้องกันผิว รวมไปถึงการเติมวิตามินผิวต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู ฮอร์โมนร่างกายไม่เพี้ยนจากการอดนอนหรือความเครียดจนส่งผลกระทบให้เมลานินผลิตเม็ดสีฝ้า
- ดื่มน้ำเปล่าครบ 8 แก้ว รวมทั้งเลือกรับประทานอาหารอย่างผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดฝ้า กระ
สรุปเรื่องฝ้า จบปัญหาผิวหน้ากวนใจ
ฝ้า ยิ่งรักษาได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีกว่าปล่อยฝ้าทิ้งไว้นานแล้วรักษายาก นอกจากนี้แล้วการป้องกันผิวจากฝ้าก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมดูแลรักษาฝ้าด้วยตัวเอง ทาครีมกันแดดปกป้องผิวหน้าเป็นประจำทุกวันเพื่อลดปัจจัยการเกิดฝ้า รวมถึงโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่อาจตามมาได้
ที่สำคัญอีกอย่างคือฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ การเลือกรักษาฝ้าโดยการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้เรารู้ทันฝ้าและจัดการรักษาฝ้า กระที่กวนใจได้เหมาะสมมากที่สุด