ปวดเมื่อย ปวดหัว อาจเป็นออฟฟิศซินโดรมจริงไหม? อยากรู้ต้องอ่าน!
วัยทำงานหลายคนที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมนานๆ อาจประสบปัญหาปวดบ่า ปวดไหล่ ปวดหลังเป็นประจำซึ่งเป็นอาการหนึ่งของออฟฟิศซินโดรม อาการเหล่านี้อาจไม่เป็นอันตรายมากแต่ไม่ควรปล่อยไว้เพราะอาการอาจรุนแรงมากขึ้นและนำไปสู่โรคอื่นที่อันตรายมากขึ้น มารู้จักโรคออฟฟิศซินโดรมทั้งอาการ วิธีรักษา สาเหตุ และอื่นๆ อีกมากมายได้ในบทความนี้
ภาวะออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)
ออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) คือ อาการที่มักพบบ่อยในวัยทำงานตามชื่อของอาการ เป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด สาเหตุหลักมักมาจากการอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน มักเป็นอิริยาบถในชีวิตประจำวัน เช่น นั่งห่อไหล่ นั่งหลังค่อม ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อตึง ซึ่งอาจเรื้อรังจนนำไปสู่โรคทางกล้ามเนื้อหรือกระดูก เช่น นิ้วล็อก กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ เป็นต้น
สาเหตุอาการออฟฟิศซินโดรม
สาเหตุที่การกระทำเดิมๆ อาจจำไปสู่ออฟฟิศซินโดรมได้มีสองประเภทคือสาเหตุจากสภาพแวดล้อมและสาเหตุจากสภาพร่างกาย
สาเหตุจากสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมกับการทำงาน เช่น เก้าอี้สูงหรือต่ำเกินไป โต๊ะไม่พอดี ไม่เหมาะกับสรีระของเรา อาจทำให้ต้องอยู่ในท่าที่ทำให้ปวดเนื้อตัวได้และนำไปสู่ออฟฟิศซินโดรม
สาเหตุจากสภาพร่างกาย
การพักผ่อนไม่เพียงพอ ทานอาหารไม่ตรงเวลา ความเครียด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบได้ง่ายในวัยทำงานและสามารถนำไปสู่ออฟฟิศซินโดรมได้เช่นกัน นอกจากนี้ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ก็สามารถทำให้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้หากไม่ดูแลร่างกายให้ดี
5 อาการออฟฟิศซินโดรมยอดฮิต
อาการของออฟฟิศซินโดรมที่พบบ่อยมี 5 อาการด้วยกันดังนี้
1. ปวดหลัง คอ บ่า ไหล่
หากนั่งทำงานในท่าที่ผิดสรีระร่างกาย อาจทำให้ปวดหลัง ปวดคอ ปวดบ่าและไหล่ได้ไม่ยาก เพราะการนั่งท่าที่ไม่เหมาะสมเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อตึง อาการปวดเหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นออฟฟิศซินโดรมและเป็นอาการปวดที่มักกระจายเป็นวงกว้าง อาจปวดร้าวบริเวณใกล้เคียงร่วมด้วย
2. ปวดศีรษะ
อาการปวดหัวออฟฟิศซินโดรมมีสาเหตุหลัก 2 ประการคือ เป็นการร้าวจากการปวดหลัง บ่า ไหล่ และคอ หรือปวดตาจนร้าวมาปวดศีรษะด้วย หากเป็นออฟฟิศซินโดรมอาการหนักก็อาจนำไปสู่ไมเกรนได้
3. ปวดข้อมือ นิ้วล็อค
หลายคนอาจเคยนิ้วล็อค ปวดข้อมือจากการพิมพ์แป้นพิมพ์หรือกดเมาส์เป็นเวลานานโดยไม่พักผ่อนหรือยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อกดทับพังผืดทับเส้นประสาท
4. ปวดตา สายตาเบลอ ตาพร่า
วัยทำงานหลายคนต้องทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้เรากระพริบตาน้อยลงและอาจทำให้ตาแห้งจนเกิดอาการปวดตา ตาพร่า เบลอ ตาล้า
5. ปวดขา เหน็บชา
การนั่งที่เดิมเวลานานนอกจากจะทำให้ปวดหลัง ปวดคอแล้ว อาจทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับจนเลือดไหลเวียนผิดปกติ นำไปสู่อาการขาปวดขา เหน็บชาที่ขา หากมีอาการดังกล่าวควรปรับพฤติกรรมและรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจรุนแรงมากขึ้นในอนาคตจนขาไม่มีแรงได้
พฤติกรรมเสี่ยงออฟฟิศซินโดรมมีอะไรบ้าง
พฤติกรรมที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรมเป็นอิริยาบถในชีวิตประจำวันที่เราอาจไม่รู้ตัว ได้แก่
- นั่วไขว่ห้าง – ท่านั่งที่ทำให้ขาข้างหนึ่งถูกกดทับเป็นเวลานานนี้อาจทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ
- นั่งหลังค่อม ห่อไหล่ – อาจทำให้ปวดคอ บ่า ไหล่
- ไม่ขยับตัวหรือเปลี่ยนท่าระหว่างนั่งทำงาน – อาจทำให้กล้ามเนื้อยึดหรือถูกกดทับ
- เมาส์หรือคีย์บอร์ดห่างจากตัว – ทำให้ต้องเอื้อมแขนเวลาใช้งาน นำไปสู่อาการปวดเมื่อย
- โต๊ะทำงานและเก้าอี้ไม่พอดีกับตัว – ทำให้ต้องปรับท่านั่งตามเก้าอี้และโต๊ะ ไม่เป็นไปตามสรีระตนเองและอาจเป็นท่านั่งที่ไม่เหมาะสม
- ความเครียด พักผ่อนไม่พอ สารอาหารไม่พอ – ทำให้สุขภาพย่ำแย่ลงและอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของออฟฟิศซินโดรม
- จอคอมพิวเตอร์สูงหรือต่ำเกินไป – อาจมีผลกับท่านั่งทำให้ต้องนั่งในท่าที่ไม่สบายตัว
กลุ่มเสี่ยงภาวะออฟฟิศซินโดรม
- ผู้ที่ใช้แรงงานเป็นประจำ เช่น นักกีฬา พนักงานแบกหาม พนักงานขายกาแฟ อาจมีอาการออฟฟิศซินโดรมเพราะการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ใช้แรงมากเกินไป ยกของผิดท่า อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บเฉียบพลันและนำไปสู่ปัญหาเรื้อรังได้
- ผู้ที่ทำงานออฟฟิศ ต้องอยู่ในท่าเดิมนานๆจนมีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อตึงและอาจมีความเครียดจากการทำงาน มีความเสี่ยงเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม
อาการออฟฟิศซินโดรมแบบใดที่ควรพบแพทย์
- มีอาการเรื้อรัง ปวดเมื่อยต่อเนื่องและยาวนาน
- เกิดอาการปวดตามตัวแบบออฟฟิศซินโดรมบ่อย
- ปวดตลอดเวลา
- เหน็บชา
- ระบุตำแหน่งปวดที่ชัดเจนไม่ได้
- มีอาการกล้ามเนื้อหรือกระดูกอักเสบร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัยโรคออฟฟิศซินโดรม
การตรวจวินิจฉัยโรคออฟฟิศซินโดรม มีดังนี้
1. ถามประวัติผู้ป่วย
ขั้นตอนนี้เป็นการถามผู้ป่วยเพื่อหาสาเหตุที่เป็นไปได้ของออฟฟิศซินโดรม เช่น อิริยาบถในการทำงาน มีความเครียดจากการทำงานไหม
2. ตรวจร่างกาย
เพื่อหาตำแหน่งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด อาจมีการคลำหาจุดเจ็บ และประเมินสุขภาพร่างกายทั่วไป
3. ประเมินความเจ็บปวด
มี 2 วิธี คือ
- บอกความรู้สึกเป็นตัวเลข (numerical rating scales: NRS) – ใช้ตัวเลข 0-10 บอกระดับความเจ็บปวด โดยเลข 0 คือไม่มีอาการ เลข 10 คือปวดรุนแรงมาก
- เฟเชียล สเกลส (facial scales) – ใช้รูปภาพสีหน้าบอกระดับความเจ็บปวด เช่น หน้ายิ้มคือไม่เจ็บ หน้าร้องไห้คือปวดมาก
4. รักษาออฟฟิศซินโดรม
การรักษาอาจสามารถทำได้ด้วยตนเองหรือต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญช่วย เช่น ทำกายภาพบำบัด ใช้ยา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการออฟฟิศซินโดรม สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหัวข้อถัดไป
5. ให้คำแนะนำหลังฟื้นฟู
ช่วยเรื่องปรับปรุงพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกัรการเป็นออฟฟิศซินโดรมซ้ำ
6. ติดตามการรักษา
วัดความถี่ของอาการปวด ระดับความปวด และประเมินการเคลื่อนไหวเพื่อการรักษาและฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม
วิธีรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม ได้แก่
1. การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน
หากมีปัญหามาจากท่านั่งที่ไม่เหมาะสม การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานอาจช่วยรักษาออฟฟิศซินโดรมได้ เช่น ใช้เก้าอี้ที่ช่วยลดอาการปวดหลัง ปรับตำแหน่งเมาส์และคีย์บอร์ด ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2. การปรับอิริยาบถให้ถูกต้องเหมาะสม
หากต้องนั่งทำงานนานๆ หลีกเลี่ยงการนั่งหลังค่อม นั่งห่อไหล่ นั่งไขว่ห้าง พยายามนั่งตัวตรง เพื่อให้เลือดลมเดินได้สะดวก อาจใช้หมอนรองเป็นตัวช่วยปรับอิริยาบถ
3. การออกกำลังกายเป็นประจำ
หากต้องการป้องกันออฟฟิศซินโดรมในระยะยาว การออกกำลังกายเป็นประจำเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะสามารถช่วยเพื่อความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด เสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง
4. การทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ
การบริหารกล้ามเนื้ออย่างถูกวิธีจะสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อตึงน้อยลง
5. การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยยา
หากเป็นออฟฟิศซินโดรมอาการหนัก อาจต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้การใช้ยาควรผ่านการปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
6. การรักษาด้วยศาสตร์ทางเลือก
- การฝังเข็ม – กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดอาการปวด
- การนวดแผนไทย – นวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เน้นบรรเทาความเจ็บปวด
7. การรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shockwave Therapy)
Shockwave หรือคลื่นกระแทก เป็นการใช้คลื่นกระแทกไปจุดที่ปวด กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ วิธีนี้ช่วยลดความเจ็บปวดได้ถึง 50% เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยหรือกล้ามเนื้ออีกเสบเรื้อรังจากออฟฟิศซินโดรม นอกจากนี้การใช้ shockwave ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สลายหินปูนในเส้นเอ็น และมีประโยชน์อื่นๆ อีกมาก
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดจากออฟฟิศซินโดรม
ออฟฟิศซินโดรมอาจมีอาการข้างเคียงอื่นร่วมด้วย เช่น
- นิ้วล็อค
- ตาพร่า
- เอ็นข้อมืออักเสบ
- ปวดศีรษะ
- เหน็บชา
แนวทางการป้องกันภาวะออฟฟิศซินโดรม
- เปลี่ยนท่า เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆเพื่อลดอาการกล้ามเนื้อถูกกดทับ
- ลุกจากที่นั่ง เดินไปเดินมาระหว่างการทำงานเพื่อขยับร่างกาย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- ยืดกล้ามเนื้อระหว่างทำงาน
- ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตำแหน่งคีย์บอร์ดและเมาส์ เพื่อให้สามารถทำงานได้ในท่านั่งที่เหมาะสม
- ผ่อนคลายบ้างเพื่อให้เครียดน้อยลง
- พักผ่อน ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพื่อให้สารอาหารเพียงพอ
รักษาออฟฟิศซินโดรมที่ไหนดี
หากออฟฟิศซินโดรมอาการหนัก ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อยับยั้งอาการ ควรเลือกที่รักษาที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีเทคโนโลยีและเครื่องมือพร้อมสำหรับการวินิจฉัยและรักษา มีนักกายภาพบำบัด การให้บริการดูแลใส่ใจรวมถึงมีการติดตามผลการรักษาเพื่อป้องกันการเป็นออฟฟิศซินโดรมซ้ำในอนาคต
ข้อสรุป
โรคออฟฟิศซินโดรม เป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อที่พบได้บ่อยในวัยทำงานจากการทำอิริยาบถเดิมที่ไม่เหมาะสมซ้ำๆ เช่น นั่งห่อไหล่ นั่งไขว่ห้าง ส่งผลให้เกิดการกดทับของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึง ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามมา หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่กล้ามเนื้อ กระดูก หรือเส้นเอ็นอักเสบได้สามารถบรรเทาอาการปวดจากออฟฟิศซินโดรมได้หลายวิธี เช่น shockwave หรือคลื่นกระแทก
ทั้งนี้การใช้ยาควรผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อน การรักษาสุขภาพตนเอง เช่น พยายามผ่อนคลายความเครียด ออกกำลังกายบ่อยๆ ยืดกล้ามเนื้อ สามารถช่วยป้องกันออฟฟิศซินโดรมได้