|

ครีมกันแดดสกินแคร์ตัวสำคัญที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้

ครีมกันแดด

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดนับเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนควรจะต้องใช้และพกติดตัวเลย เพราะยิ่งนับวันอันตรายจากแสงแดดยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จากภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะเขตร้อนอย่างประเทศไทยที่มีแดดจัด ความร้อนและรังสีจากแสงแดดสามารถทำอันตรายต่อผิวทั้งแบบทันทีและสะสมในระยะยาวได้ง่าย ๆ 

แต่ก็ยังมีคนอีกหลายคนที่ยังไม่เห็นถึงความสำคัญของครีมกันแดด หรืออาจยังใช้ครีมกันแดดอย่างไม่ถูกวิธี ทำให้ผิวก็ยังได้รับอันตรายจากรังสียูวีอยู่เช่นเดิม เพื่อให้การทาครีมกันแดดของคุณสามารถปกป้องผิวคุณจากอันตรายของรังสีที่มากับแสงแดดให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด เราไปดูกันว่าครีมกันแดดแต่ละแบบต่างกันอย่างไร ใช้กันแดดแบบไหนจึงเหมาะกับคุณ รวมถึงการทาครีมกันแดดที่ถูกวิธี


ครีมกันแดด คืออะไร

ครีมกันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) ที่มีส่วนผสมของสารกันแดด โดยคุณสมบัติของครีมทาผิวกันแดดคือการปกป้องผิวจากรังสี UV ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหลายอย่าง เช่น ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำ ผิวสูญเสียน้ำ ผิวมีรอยดำ ฝ้า กระ รอยเหี่ยวย่น รวมไปถึงมะเร็งผิวหนัง


วิธีการทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง 

มีการเติมครีมกันแดดระหว่างวัน

ครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ระดับหนึ่ง และสามารถหลุดออกไปได้ระหว่างวันไม่ว่าจะจากการที่คุณมีเหงื่อออก โดนน้ำ หรือโดนแดดมาก ๆ ดังนั้นการทาครีมกันแดดจึงจำเป็นต้องทาบ่อย ๆ ไม่ใช่เพียงแค่การทาในช่วงเช่าก่อนออกจากบ้านเท่านั้น

การทาครีมกันแดดที่ถูกต้องนั้นควรจะต้องมีการทาครีมกันแดดซ้ำระหว่างวัน อย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมงต่อครั้ง จึงจะทำให้ครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวคุณได้ดีที่สุด 

เราขอแนะนำวิธีทาครีมกันแดดระหว่างวันที่ถูกต้องเพื่อลดโอกาสการที่ผิวจะเกิดการอุดตันสามารถทำได้ดังนี้ 

  • ซับเหงื่อออกด้วยกระดาษทิชชู่ และใช้กระดาษซับหน้ามันดึงเอาความมันที่มาจากครีมกันแดดหรือมาจากซีบับจากร่างกายเราเองออก เพื่อให้ครีมกันแดดที่จะทาลงไปใหม่สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวง่ายขึ้น
  • ฉีดสเปรย์น้ำแร่ลงบนผิว เติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวก่อนจะทาครีมกันแดดลงผิว
  • เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นระดับหนึ่งแล้วก็สามารถทาครีมกันแดดระหว่างวันได้เลย
  • สำหรับผู้ที่แต่งหน้าอาจเลือกใช้เป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของครีมกันแดดแทนการใช้ครีมกันแดด ทั้งสามารถปกป้องผิวจากแดดได้แล้วยังไม่ทำให้เครื่องสำอางหลุดอีกด้วย

ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 30 นาที

การทาครีมกันแดดที่ถูกต้องอีกข้อที่หลาย ๆ คนอาจละเลยคือความจำเป็นในการทาครีมกันแดดทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนออกแดด เพราะความเร่งรีบหลายคนอาจคิดว่าทาครีมกันแดดแล้วก็สามารถสู้แดดได้เลย 

แต่เพื่อประสิทธิภาพการกันแดดของครีมกันแดดที่ดีที่สุดควรจะต้องรอให้ครีมกันแดดซึมซาบเข้าสู่ผิวให้มากที่สุดก่อน หากครีมกันแดดยังไม่ทันซึมซาบเข้าสู่ผิวและออกแดดทันที ความร้อนจากแดดอาจทำให้เหงื่อไหลและมีโอกาสที่ครีมกันแดดจะหลุดออกจากผิวได้ง่าย ๆ 

ทาครีมกันแดดอย่างน้อย 2 ข้อนิ้วมือ

เชื่อว่าหลายคนอาจรู้สึกว่าการทาครีมกันแดดไม่ค่อยช่วยปกป้องผิวเท่าไหร่นัก แต่ในหลายคนที่มีความรู้สึกแบบนี้มักจะใช้ครีมกันแดดไม่ถูกวิธี อย่างการใช้ครีมกันแดดในปริมาณเพียงเล็กน้อย แค่พอทาได้ทั่วผิวเท่านั้น แต่การกระทำนี้ทำให้ครีมกันแดดไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวได้อย่างเต็มที่และผิวก็ยังได้รับอันตรายจากแสงแดดอยู่ดี

การทาครีมกันแดดที่ถูกวิธีที่แนะนำคือใช้ปริมาณประมาณ 2 ข้อนิ้วมือสำหรับบริเวณใบหน้าและลำคอจึงจะเพียงพอ และควรจะต้องทาซ้ำระหว่างวันเพื่อให้ครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวคุณอย่างสูงสุด


วิธีการเลือกใช้ครีมกันแดด 

การเลือกครีมกันแดด

หากคุณได้ลองดูตามชั้นวางสินค้าในร้านค้าต่าง ๆ ก็จะเห็นได้ว่ามีครีมกันแดดวางจำหน่ายอยู่หลากหลายยี่ห้อมาก ๆ หรือแม้แต่ยี่ห้อเดียวกันยังมีครีมกันแดดหลายชนิดให้เลือก แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าควรจะเลือกครีมกันแดดตัวไหนที่เหมาะกับคุณที่สุด เรารวมรวมวิธีการเลือกใช้ครีมกันแดดมาให้คุณแล้วดังนี้

เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว

เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นครีมกันแดดเหมือนกัน แต่ครีมกันแดดเองก็มีหลากหลายเนื้อสัมผัส หลากหลายสูตรที่ออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกันไป สิ่งแรกก่อนที่คุณจะเลือกใช้ครีมกันแดดใด ๆ ควรจะทราบถึงสภาพผิวของตนเองเสียก่อน

หากคุณเป็นผู้ที่มีผิวมัน ผิวเป็นสิวง่าย หรือผิวแพ้ง่าย ก็อาจเลือกครีมกันแดดที่เป็นสูตรน้ำหรือสูตรเจลที่มีเนื้อค่อนข้างเบา ซึมเข้าสู่ผิวง่ายกว่า หรือคุณอาจสังเกตจากฉลากและเลือกยี่ห้อ/ชนิดครีมกันแดดที่ไม่อุดตันรูขุมขน

แต่หากคุณเป็นผู้ที่มีผิวแห้งก็อาจเลือกใช้ครีมกันแดดได้หลายสูตร แต่เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันการระเหยของน้ำออกจากผิวอาจเลือกครีมกันแดดสูตรที่เป็นเนื้อครีม เนื้อโลชั่นที่ค่อนข้างข้นและอาจมีส่วนผสมของน้ำมันมาก ๆ ได้ เพราะน้ำมันจะไปเคลือบบนผิวเพือรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิวนั่นเอง

เลือกที่มีค่า spf มากกว่า 30 

คุณอาจสังเกตได้ว่าที่หน้าขวดครีมกันแดดก็จะมีระบุถึงค่า SPF และค่า PA ไว้ แต่ละสูตรก็อาจมีค่าเหล่านี้ต่างกันไป ซึ่งค่าเหล่านี้หมายถึงคุณสมบัติการป้องกันรังสี UVB กับรังสี UVA ตามลำดับ (รายละเอียดจะขอยกไปกล่าวในหัวข้อ : ค่า spf และ pa ในครีมกันแดด) 

เพื่อให้ครีมกันแดดสามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวเราจากแสงแดดอย่างเต็มที่ที่สุด การเลือกครีมกันแดดสำหรับกันแดดประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเราจึงควรจะต้องเลือกค่า SPF มากกว่า 30 และค่า PA+++ ซึ่งเป็นค่าที่สามารถกันแดดได้ประมาณ 97% เลยทีเดียว

แต่หากคุณจะเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่านี้ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ยิ่งเป็นครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเท่าไหร่ ตัวเนื้อครีมกันแดดยิ่งมีความข้นหนืดหนักหน้ามากเท่านั้น แต่ความสามารถในการปกป้องผิวต่างกันไม่กี่ % ถ้าคุณเป็นผู้ที่มีปัญหาผิวมันเป็นสิว อุดตันง่ายก็อาจเลือกเพียงแค่ค่า SPF มากกว่า 30 และค่า PA+++ ก็เพียงพอแล้ว

เลือกกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำ

ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ไปลุยน้ำหรือว่ายน้ำ แต่การเลือกครีมกันแดดที่ถูกต้องคือควรจะเลือกครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำกันเหงื่อ อย่างอากาศร้อนบ้านเราที่เรียกเหงื่อมาง่าย ๆ นั้นหากใช้ครีมกันแดดที่ไม่สามารถกันน้ำได้ เหงื่อก็จะชะล้างครีมกันแดดหลุดออกไปอยู่ดี 

และถึงแม้ว่าจะเป็นครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำแต่ส่วนมากก็มักจะสามารถกันน้ำได้เพียงแค่หลักนาทีหรือหลักชั่วโมงต้น ๆ เท่านั้น เพื่อให้การใช้ครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวเราได้ดีที่สุดควรจะทาครีมกันแดดเพิ่มเติมอย่างน้อยทุก ๆ 2 ชั่วโมง และหากมีเหงื่อออกหรือโดนน้ำก็ควรจะเพิ่มความถี่ในการทาครีมกันแดดด้วย


ประเภทของครีมกันแดด

ครีมกันแดดที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันมีอยู่ 3 ประเภท คือ

Hybrid sunscreen

เป็นครีมกันแดดที่นำข้อดีของครีมกันแดดประเภท Chemical sunscreen และ Physical sunscreen มารวมตัวกัน ทำให้ครีมกันแดดประเภท Hybrid sunscreen สามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวได้ทั้งแบบดูดซับและการสะท้อนรังสี UV เลย 

เนื้อสัมผัสของครีมกันแดดประเภท Hybrid sunscreen นี้จะมีเนื้อค่อนข้างบางเบา และไม่ไปเคลือบผิวจนทำให้ผิวดูขาววอกเหมือนครีมกันแดดกลุ่ม Physical sunscreen อีกทั้งยังมีความปลอดภัยต่อผิวมากกว่าครีมกันแดดกลุ่ม Chemical sunscreen ที่มักอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวอีกด้วย  

Chemical sunscreen

เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถดูดซับรังสี UV ไว้ในผิวได้โดยที่ไม่ทำให้ผิวได้รับอันตรายจากรังสี UV โดยจุดเด่นของครีมกันแดดกลุ่ม Chemical sunscreen นี้เลยคือเนื้อครีมกันแดดจะค่อนข้างบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และด้วยคุณสมบัติการซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ทำให้ตัวครีมกันแดดไม่ไปเคลือบอยู่บนผิวและทำให้ผิวขาววอกนั่นเอง

แต่ครีมกันแดดประเภทนี้จะเสื่อมสภาพในการป้องกันแดดได้ง่ายเมื่อรังสีถูกดูดซับไประดับหนึ่ง ทำให้มีความจำเป็นต้องทาครีมกันแดดซ้ำระหว่างวันเพื่อให้ครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวได้เต็มประสิทธิภาพ 

อีกทั้งครีมกันแดด Chemical sunscreen ที่ใช้สารเคมีสามารถก่ออาการระคายเคืองผิวได้ง่าย ยิ่งครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเท่าไหร่ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผิวระคายเคืองง่ายขึ้นเท่านั้น

Physical sunscreen

เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนรังสี UVA และ UVB ออกจากผิวหนัง ซึ่งครีมกันแดดกลุ่ม Physical sunscreen นี้จะเป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวจากภายนอก ไม่ได้ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง จึงมีโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองน้อยกว่าการใช้ครีมกันแดดกลุ่ม Chemical sunscreen 

แต่ในปัจจุบันไมค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากครีมกันแดดกลุ่มนี้จะทำให้ผิวขาววอก เนื้อครีมค่อนข้างหนา เหนียวเหนอะหนะ และเกลี่ยลงบนผิวค่อนข้างยากนั่นเอง 


ค่า spf และ pa ในครีมกันแดด

ครีมกันแดดสำคัญอย่างไร

หลายคนอาจสังเกตได้ว่าบนขวดครีมกันแดดมักจะมีกำกับค่า SPF และค่า PA อยู่ แล้วค่าเหล่านี้หมายถึงอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

ค่า spf ในครีมกันแดด

ค่า SPF (Sunburn  Protection  Factor) คือค่าที่ใช้บ่งบอกความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นในช่วง 290-320 นาโนเมตร ความยาวคลื่นประมาณนี้มีอำนาจในการทะลุเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกแต่ไม่สามารถทะลุผ่านกระจกเข้ามาได้ โดยปกติผิวเราจะสัมผัสกับรังสี UVB ได้จากการที่อยู่กลางแจ้ง

ซึ่งรังสี UVB นี้สามารถทำอันตรายต่อผิวมนุษย์ได้แบบทันที เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผิวไหม้แดด เนื่องจากรังสีชนิดนี้มีความร้อน อีกทั้งยังสามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

ปกติแล้วครีมกันแดดจะมีค่า SPF อยู่หลายช่วงตั้งแต่ SPF 10, 15, 30 และ 50 ยิ่งมีค่า SPF ในครีมกันแดดมากเท่าไหร่ ครีมกันแดดนั้นยิ่งสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้มากขึ้นเท่านั้น

แต่อย่างที่ได้ทราบกันไปก่อนหน้าแล้วว่าในครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงยิ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวมากเท่านั้น ดังนั้นอาจเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมกับลักษณะชีวิตประจำวันของคุณจะดีที่สุด เช่นหากไม่ได้ออกกลางแจ้งเลยก็อาจเลือกครีมกันแดดค่า SPF น้อย ๆ แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องออกกลางแจ้งก็อาจเลือกครีมกันแดดค่า SPF สูง ๆ เป็นต้น 

ค่า pa ในครีมกันแดด

ค่า PA คือค่าที่ใช้บ่งบอกความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งเป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นในช่วง 320-400 นาโนเมตร เป็นความยาวคลื่นที่ไม่ได้ทำอันตรายต่อผิวหนังเราได้ทันทีแต่มีอำนาจในการทะลุทะลวงเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ได้เลย 

โดยรังสี UVA นั้นอาจไม่ได้ทำให้ผิวไหม้หรือบาดเจ็บระยะสั้น แต่สามารถทำลายผิวแบบระยะยาว และยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระมาก ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ มีริ้วรอย อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นเม็ดสีเมลานินทำให้ผิวคล้ำขึ้นอีกด้วย

ค่า PA ในครีมกันแดดจะมีหน่วยที่ต่างจากค่า SPF คือจะบอกเป็นสัญลักษณ์ “+” ยิ่งมีสัญลักษณ์ + ต่อท้ายค่า PA มากเท่าไหร่ แปลว่าครีมกันแดดนั้นสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากเท่านั้น 

สำหรับค่า PA ที่แนะนำคือ PA +++ ขึ้นไป เพราะรังสี UVA นั้นมีอำนาจในการทะลุละลวงสูง ก่อปัญหาผิวระยะยาวได้มากกว่า อีกทั้งยังไม่สามารถป้องกันได้ถึงแม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม