CEFR คืออะไร? มาตรฐานการวัดระดับภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือวัยทำงาน ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษถือเป็นทักษะสำคัญที่ขาดไม่ได้ การวัดระดับภาษาอังกฤษถือเป็นเกณฑ์ที่จะช่วยประเมินระดับภาษาของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี Common European Framework of Reference for Languages หรือ CEFR คือเครื่องมือมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ใช้วัดและประเมินความสามารถทางภาษาได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน ดังนั้น CEFR คือสิ่งที่จะช่วยให้เราวางแผนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
CEFR คืออะไร?
CEFR ย่อมาจาก Common European Framework of Reference for Languages หรือกรอบอ้างอิงความสามารถทางภาษาของสหภาพยุโรป เป็นมาตรฐานที่พัฒนาขึ้นโดยสภายุโรป (Council of Europe) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989-1996 โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างมาตรฐานกลางในการวัดระดับความสามารถทางภาษาที่สามารถใช้ได้กับทุกภาษาในทวีปยุโรป
แม้ว่า CEFR คือมาตรฐานที่ถูกพัฒนาขึ้นในยุโรป แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับและนำไปใช้ทั่วโลก โดยเฉพาะในการวัดระดับภาษาอังกฤษ การสอบ CEFR คือกรอบมาตรฐานที่ใช้อธิบายความสามารถในการใช้ภาษาของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน ทำให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองและวางแผนพัฒนาทักษะภาษาได้อย่างมีเป้าหมายชัดเจน นอกจากนี้ CEFR Test คือมาตรฐานที่สถาบันการศึกษา องค์กร และบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกใช้อ้างอิงในการรับสมัครนักเรียน นักศึกษา หรือพนักงานอีกด้วย
ระดับของ CEFR มีอะไรบ้าง? แบ่งแต่ละระดับอย่างไร?
หลายคนคงจะสงสัยว่า CEFR Level คืออะไร? CEFR มีกี่ระดับ? โดยระดับ CEFR คือเกณฑ์ที่ถูกออกแบบมาให้วัดความสามารถทางภาษาได้อย่างครอบคลุม โดยแบ่งออกเป็น 6 ระดับหลัก เรียงจากระดับเริ่มต้น (Basic User) ไปจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ (Proficient User) แต่ละระดับจะมีเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน ครอบคลุมทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ทำให้ผู้เรียนสามารถทราบจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนาในแต่ละทักษะได้อย่างแม่นยำ
A1-Beginner
ระดับ A1 ในการทดสอบ CEFR หมายถึง ผู้เรียนที่สามารถเข้าใจและใช้ภาษาในระดับพื้นฐานที่สุด สามารถแนะนำตัวเอง ถามและตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวได้ เช่น ที่อยู่ สิ่งของที่ตนเองมี และบุคคลที่รู้จัก สามารถโต้ตอบอย่างง่าย ๆ ได้หากคู่สนทนาพูดช้า ๆ ชัด ๆ และพร้อมที่จะช่วยเหลือในการสื่อสาร
A2-Elementary
CEFR A2 คือ ผู้เรียนสามารถเข้าใจประโยคและสำนวนที่ใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับครอบครัว การซื้อของ การบอกทาง และการทำงาน สามารถสื่อสารในสถานการณ์ง่าย ๆ ที่ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องที่คุ้นเคย สามารถอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเอง สภาพแวดล้อม และความต้องการที่จำเป็นได้
B1-Intermediate
CEFR B1 คือ สามารถเข้าใจประเด็นสำคัญเมื่อมีการใช้ภาษามาตรฐานที่ชัดเจนในเรื่องที่คุ้นเคย เช่น เรื่องในที่ทำงาน โรงเรียน หรือการพักผ่อน สามารถจัดการกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในประเทศที่ใช้ภาษานั้น สามารถสร้างข้อความที่เชื่อมโยงกันในหัวข้อที่คุ้นเคยหรือสนใจ และสามารถอธิบายประสบการณ์ เหตุการณ์ ความฝัน ความหวัง พร้อมให้เหตุผลสั้น ๆ สำหรับความคิดเห็นและแผนการได้
B2-Upper Intermediate
CEFR B2 คือระดับที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจใจความสำคัญของข้อความที่ซับซ้อนทั้งในหัวข้อที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม รวมถึงการอภิปรายทางเทคนิคในสาขาวิชาของตนเอง สามารถโต้ตอบด้วยความคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ สามารถเขียนข้อความโดยละเอียดในหัวข้อที่หลากหลาย พร้อมอธิบายจุดยืนในประเด็นต่าง ๆ โดยระบุข้อดีและข้อเสียของทางเลือกต่าง ๆ ได้
C1-Advanced
ผู้เรียนในระดับ C1 สามารถเข้าใจข้อความยาว ๆ ที่ซับซ้อนและหลากหลาย และเข้าใจความหมายแฝงได้ สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องหยุดคิดหาคำศัพท์ สามารถใช้ภาษาอย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเพื่อวัตถุประสงค์ทางสังคม วิชาการ และวิชาชีพ สามารถสร้างข้อความที่ชัดเจน มีโครงสร้างดี และมีรายละเอียดในหัวข้อที่ซับซ้อน
C2-Proficient
ระดับสูงสุดของ CEFR คือ C2 ซึ่งผู้เรียนสามารถเข้าใจทุกสิ่งที่ฟังหรืออ่านได้อย่างง่ายดาย สามารถสรุปข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งการพูดและการเขียน สามารถนำเสนอข้อโต้แย้งและคำอธิบายในรูปแบบที่สอดคล้องและกระชับ สามารถแสดงความหมายที่ละเอียดอ่อนได้อย่างแม่นยำแม้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน ความสามารถในระดับนี้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับเจ้าของภาษาทั้งหมด
การสอบ CEFR มีแบบไหนบ้าง? สามารถใช้เทียบคะแนนกับการทดสอบอะไรได้บ้าง?

จุดเด่นของการวัดระดับภาษาตามมาตรฐาน CEFR คือสามารถทำได้ผ่านการสอบหลายรูปแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล แต่ละการสอบมีจุดเด่นและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้สอบสามารถเลือกการทดสอบที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาต่อ การทำงาน หรือการประเมินทักษะทางภาษา
IELTS
IELTS หรือ International English Language Testing System เป็นการสอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการศึกษาต่อในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ คะแนน IELTS สามารถเทียบกับระดับ CEFR ได้ดังนี้
- คะแนน 4.0-5.0 = ระดับ B1
- คะแนน 5.5-6.5 = ระดับ B2
- คะแนน 7.0-8.0 = ระดับ C1
- คะแนน 8.5-9.0 = ระดับ C2
TOEIC
TOEIC หรือ Test of English for International Communication เป็นการสอบที่เน้นการวัดทักษะภาษาอังกฤษในบริบทของการทำงาน การเทียบระดับ CEFR มีดังนี้
- คะแนน 225-545 = ระดับ A2
- คะแนน 550-780 = ระดับ B1
- คะแนน 785-940 = ระดับ B2
- คะแนน 945+ = ระดับ C1
TOEFL
TOEFL หรือ Test of English as a Foreign Language เป็นอีกหนึ่งการสอบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา การเทียบระดับ CEFR สำหรับ TOEFL iBT มีดังนี้
- คะแนน 42-71 = ระดับ B1
- คะแนน 72-94 = ระดับ B2
- คะแนน 95-119 = ระดับ C1
- คะแนน 120 = ระดับ C2
CEFR คือมาตรฐานวัดทักษะภาษาอังกฤษระดับโลก
CEFR คือ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถประเมินและพัฒนาทักษะทางภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวัดระดับ CEFR ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถวางแผนการเรียนรู้และพัฒนาได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวสอบเพื่อศึกษาต่อ การพัฒนาทักษะเพื่อการทำงาน หรือการยกระดับความสามารถทางภาษาเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และยังช่วยให้สามารถติดตามความก้าวหน้าของตนเองได้อย่างเป็นระบบ