Nephrotic Syndrome คืออะไร? ทำความรู้จักโรคโปรตีนรั่ว

โรคไตเป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนมักจะมองข้าม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก โรคโปรตีนรั่ว หรือ Nephrotic Syndrome คือภาวะที่ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ทำให้โปรตีนที่ควรอยู่ในร่างกายรั่วไหลออกมาทางปัสสาวะ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะนี้ การศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องว่า Nephrotic Syndrome คือโรคอะไร จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Nephrotic Syndrome คืออะไร มีกี่ประเภท?
Nephrotic Syndrome คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของไต โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า Glomerulus ซึ่งทำหน้าที่กรองเลือด เมื่อส่วนนี้เสียหาย จะทำให้โปรตีนที่ปกติควรถูกเก็บไว้ในร่างกายรั่วไหลออกมาทางปัสสาวะมากกว่าปกติ ภาวะนี้จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโรคโปรตีนรั่ว ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
เนฟโฟรติกซินโดรมมีลักษณะเฉพาะคือการสูญเสียโปรตีนผ่านปัสสาวะมากกว่า 3.5 กรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าคนปกติมาก นอกจากนี้ยังพบระดับโปรตีนในเลือดที่ลดลง โดยเฉพาะอัลบูมิน ที่มีหน้าที่สำคัญในการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย เมื่อระดับอัลบูมินลดลง จะทำให้เกิดอาการบวมน้ำ ซึ่งเป็นอาการหลักที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย
โรค Nephrotic Syndrome สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Primary Nephrotic Syndrome ที่เกิดจากปัญหาที่ไตโดยตรง และ Secondary Nephrotic Syndrome ที่เกิดจากโรคอื่นที่ส่งผลต่อไต การแยกแยะประเภทของโรคเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพราะแต่ละประเภทมีสาเหตุและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน
Nephrotic Syndrome สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่?

การเข้าใจสาเหตุของ Nephrotic Syndrome คือปัจจัยสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคอย่างถูกวิธี สาเหตุของภาวะนี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม โดยในเด็กมักพบสาเหตุจากโรคที่เกิดขึ้นที่ไตโดยตรง เช่น Minimal Change Disease ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในเด็กอายุ 2-6 ปี โรคนี้มีลักษณะเฉพาะคือเมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์แสงธรรมดาจะไม่พบความผิดปกติชัดเจน แต่เมื่อตรวจด้วยกล้องอิเล็กตรอนจะพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไต
ในผู้ใหญ่ สาเหตุของ Nephrotic Syndrome คือสิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากโรคอื่นที่ส่งผลต่อไต เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของโรคไตเรื้อรัง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน จะทำให้หลอดเลือดเล็กที่ไตเสียหาย ส่งผลให้การกรองของไตลดลงและเกิดการรั่วของโปรตีน นอกจากนี้ โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุมที่ดีก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ
โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติก็เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย เช่น Systemic Lupus Erythematosus (SLE) หรือโรคลูปัส ซึ่งเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง รวมถึงไต การติดเชื้อบางชนิดก็สามารถก่อให้เกิดภาวะนี้ได้ เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือซี ที่สามารถทำให้เกิดการอักเสบที่ไตและนำไปสู่ Nephrotic Syndrome
ยาบางชนิดก็อาจเป็นสาเหตุได้ โดยเฉพาะยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หากใช้เป็นเวลานานหรือในปริมาณมาก ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยาเคมีบำบัด การใช้ยาเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับไต
Nephrotic Syndrome มีอาการอย่างไร?
อาการโปรตีนรั่วที่เกิดจาก Nephrotic Syndrome คือจะมีลักษณะเฉพาะที่ผู้ป่วยและญาติควรสังเกต อาการหลักที่พบได้บ่อยที่สุดคือ การบวมน้ำ (Edema) ซึ่งมักเริ่มต้นจากบริเวณใบหนา โดยเฉพาะรอบดวงตา เมื่อตื่นนอนตอนเช้า จากนั้นจะค่อยๆ ลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น มือ เท้า และขา ในรายที่รุนแรงอาจพบการบวมน้ำในช่องท้องหรือช่องปอด ทำให้หายใจลำบาก
การเปลี่ยนแปลงของปัสสาวะเป็นอีกสัญญาณสำคัญที่ต้องสังเกต ปัสสาวะของผู้ป่วยมักจะมีฟองมาก และฟองเหล่านั้นไม่แตกง่าย เนื่องจากมีโปรตีนปริมาณสูง นอกจากนี้ ปริมาณปัสสาวะอาจลดลง และสีของปัสสาวะอาจเข้มขึ้น บางครั้งอาจพบเลือดปนในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีสีแดงหรือน้ำตาลเข้ม
ผู้ป่วยมักรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และไม่มีแรง เนื่องจากการสูญเสียโปรตีนที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย การนอนหลับไม่สนิท เพราะการบวมน้ำอาจทำให้รู้สึกไม่สบาย โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ อาจมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากน้ำคั่งในปอด น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ต้องระวัง เพราะเป็นผลจากการคั่งของน้ำในร่างกาย
Nephrotic Syndrome วินิจฉัยได้ด้วยวิธีใดบ้าง?

การวินิจฉัย Nephrotic Syndrome คือกระบวนการที่ต้องอาศัยการตรวจหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง การตรวจแรกที่แพทย์จะสั่งคือ การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis) เพื่อดูปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ หากพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่าปกติ จะต้องเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง เพื่อวัดปริมาณโปรตีนที่แท้จริง หรือใช้การตรวจ Protein/Creatinine Ratio ในปัสสาวะครั้งเดียว ซึ่งให้ผลที่น่าเชื่อถือเช่นกัน
- การตรวจระดับอัลบูมินในเลือด ผู้ป่วย Nephrotic Syndrome มักมีอัลบูมินต่ำกว่า 3.5 กรัม/เดซิลิตร ซึ่งบ่งบอกถึงการรั่วของโปรตีนจากไต
- การตรวจไขมันในเลือด ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์มักสูงขึ้น เป็นผลจากการตอบสนองของร่างกายต่ออัลบูมินต่ำ
- การประเมินค่าการทำงานของไต ตรวจค่า Creatinine และ BUN เพื่อดูว่าไตยังทำงานได้ดีหรือมีภาวะไตเสื่อมหรือไม่
- การตรวจหาสาเหตุของโรคเพิ่มเติม อาจรวมถึงการตรวจน้ำตาลในเลือด, ANA, ไวรัสตับอักเสบ, หรือการตรวจมะเร็ง เพื่อหาสาเหตุเบื้องหลังของกลุ่มอาการ
- การตรวจชิ้นเนื้อไต (Kidney Biopsy) ใช้ในกรณีผู้ใหญ่หรือเด็กที่ไม่ตอบสนองต่อสเตียรอยด์ เพื่อวินิจฉัยชนิดของโรคไตและวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ
- การตรวจภาพถ่ายไต เช่น อัลตราซาวด์หรือ CT Scan ใช้ประเมินขนาด รูปร่าง หรือหาความผิดปกติ เช่น นิ่วหรือเนื้องอกที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการ
Nephrotic Syndrome รักษาอย่างไร?
การรักษา Nephrotic Syndrome คือกระบวนการที่ต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมและต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการรั่วของโปรตีน ควบคุมอาการบวมน้ำ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ยกตัวอย่างเช่น
- การใช้ยาสเตียรอยด์ เช่น Prednisolone
ยาสเตียรอยด์เป็นยาตัวหลักในการลดการอักเสบและการรั่วของโปรตีน โดยเฉพาะในเด็กที่เป็น Minimal Change Disease - การใช้ยา ACE inhibitors หรือ ARBs
ARBs จะช่วยลดแรงดันในหลอดเลือดของไต ลดการรั่วของโปรตีน และชะลอการเสื่อมของไต - การควบคุมอาการบวมน้ำด้วยยาขับปัสสาวะและการจำกัดเกลือ
การรับประทานยาอย่าง Furosemide จะช่วยขับน้ำส่วนเกิน และควรลดการบริโภคเกลือไม่เกิน 2–3 กรัม/วัน เพื่อลดการคั่งของน้ำ - การดูแลโภชนาการอย่างเหมาะสม
ควรรับประทานโปรตีนปริมาณพอเหมาะ (0.8–1 กรัม/กก./วัน) และเลือกแหล่งโปรตีนคุณภาพ เช่น ปลา ไข่ขาว ถั่วเหลือง เพื่อไม่ให้ไตทำงานหนักเกินไป - การใช้ยากดภูมิคุ้มกันในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อสเตียรอยด์
ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Cyclophosphamide, Mycophenolate mofetil หรือ Tacrolimus ซึ่งต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
Nephrotic Syndrome คือโรคที่ทุกคนควรรู้จัก
Nephrotic Syndrome คือโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของไต ทำให้โปรตีนรั่วออกมาทางปัสสาวะมากกว่าปกติ จากคำถามที่ว่าไตรั่วอันตรายไหม คำตอบคือหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แต่ด้วยการวินิจฉัยที่ถูกต้อง การรักษาที่เหมาะสม และการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ