ยา finasteride หยุดปัญหาผมร่วงที่ตรงจุด
ปัญหาผมร่าง ผมบาง ศีรษะล้าน เป็นปัญหาหนักอกที่ทำให้หลาย ๆ คนขาดบุคลิกภาพที่ดี ไม่ว่าใครก็อยากจะเกิดมาสวย เกิดมาหล่อ แม้ว่าเราไม่สามารถห้ามความบกพร่องทางร่างกายได้ แต่เราก็บรรเทาอาการหนักให้เป็นเบาได้ ด้วยการใช้ยา finasteride หรือยาแก้ปัญหาผมร่วง
ยา finasteride กินตอนไหนถึงจะได้ผลมากที่สุด แล้วมีผลข้างเคียงไหม คงเป็นปัญหาคาใจของผู้ที่กำลังประสบกับปัญหาผมร่วงอยู่ ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะคุณไม่ได้ซื้อยาด้วยตนเอง แต่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์แล้วถึงจะใช้ยา และด้วยอาการผมร่วงของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน แพทย์จึงจำเป็นที่จะพิจารณาว่าควรจะให้ finasteride 1 mg หรือ finasteride 5 mg ทั้งนี้ควรกินยาตามคำแนะนำของแพทย์ และหมั่นตรวจเช็กสภาพร่างกายเสมอว่าปกติดีหรือไม่ เมื่อพร้อมแล้วไปดูกันว่ายาแก้ผมร่วงนั้นดีอย่างไร
ยา finasteride คืออะไร
ยา finasteride หรือ ฟีนาสเตอไรด์ (Finasteride) เป็นยาที่ใช้สำหรับการรักษาผมร่วงโดยเฉพาะ เดิมทีเป็นยาที่ใช้สำหรับการรักษาต่อมลูกหมากโต แต่ประสิทธิภาพของตัวยาทำให้ช่วยลดการหลั่งฮอร์โมน DHT สาเหตุของปัญหาผมร่วงได้ ถือว่าเป็นยาที่เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านที่เกิดจากกรรมพันธุ์
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาก็คือ แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยา finasteride 1 mg มากกว่ายา finasteride 5 mg โดยให้กินวันละ 1 เม็ดก่อนนอน หรือช่วงเวลาเดิมของทุก ๆ วัน โดยต้องกินยา finasteride ตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง และไม่ควรใช้ยาในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคตับ และผู้มีภาวะซึมเศร้า
ยา finasteride ช่วยรักษาผมร่วงได้อย่างไร
ยา finasteride จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5a-reductase ที่เป็นเอนไซม์เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนเพศชาย DHT (Dihydrotestosterone) เพราะเจ้าตัว DHT นี้จะเป็นตัวรับฮอร์โมนเพศ (Androgen receptor) ที่ไปกระตุ้นการทำงานของยีนที่เกี่ยวข้องกับการลดขนาดของปลายรากขน (Dermal Papilla) ทำให้เส้นผมเกิดการหลุดร่วง
ยา finasteride กับ ต่างกันอย่างไร
วิธีการที่ยา finasteride สามารถทำให้อาการผมร่วงหายไปได้ ก็คือการยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย หรือ DHT ไม่ให้ไปรุกรานการเจริญเติบโตของเส้นผม โดยยารักษาโรคผมร่วงมีหลายชนิด นอกจากยา finasteride แล้วก็ยังมียา Minoxidil ซึ่งยาทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันดังนี้
ยา finasteride
ยา finasteride เป็นยาที่ช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชาย หรือ DHT ที่เป็นตัวการที่ก่อให้เกิดผมร่วง และจะเข้าไปจัดการกับปัญหาได้ตรงจุด ช่วยระงับการทำงานของฮอร์โมนเจ้าปัญหาอย่าง DHT ได้อยู่หมัด
ยา Minoxidil
ยา Minoxidil ต่างจากยา finasteride ตรงที่เป็นยาช่วยบำรุงเส้นผม ไม่ได้หยุดการหลุดร่วงของเส้นผม โดยตัวยาจะช่วยขยายหลอดเลือด และนำออกซิเจน เลือด รวมถึงสารต่าง ๆ ไปหล่อเลี้ยงผิวหนังพร้อมกับเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผมที่เกิดใหม่
นอกจากการทานยา finasteride มีวิธีไหนแก้ผมร่วงได้อีกบ้าง
หลังจากที่เราได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับยา finasteride กันไปบ้างแล้วทีนี้เราลองมาดูกันว่านอกจากการกินยา แล้วยังมีวิธีไหนที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านได้อีกบ้าง เราจะพาไปชมกันว่าวิธีการรักษาผมร่วงในรูปแบบอื่น ๆ มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง จะเห็นผลมากกว่ากินยา หรือกินยาจะเห็นผลมากกว่ากันไปดูกันเลย
- การฉีดสเต็มเซลล์ผม (Rigenera)
วิธีการรักษาเส้นผมยอดฮิตที่ไม่ใช่แค่การบำรุงผม แต่ยังเป็นการสะกิดเอาสเต็มเซลล์บริเวณรากผมของคนไข้ มาสกัดด้วยเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Rigenera Activa เพื่อให้ได้เนื้อเยื่อของหนังศีรษะขนาด 50 ไมครอน นำมาฉีดลงบนหนังศีรษะของคนไข้ เพื่อให้ผมกลับมาแข็งแรง เป็นการซ่อมแซมรากผมและชะลอการเกิดผมร่วง เห็นผลได้เร็วกว่าการกินยา finasteride
- การฉีด PRP ผม
PRP ผม (Platelet Rich Plasma) เป็นวิธีการฉีดเกล็ดเลือดแบบเข้มข้นที่เป็นเกล็ดเลือดของคนไข้เอง โดยนำเกล็ดเลือด 10 มิลลิลิตรมาปั่น แยกส่วนของเกล็ดเลือด แล้วนำเกล็ดเลือดเข้มข้นที่อุดมไปด้วยสารอาหาร (Growth factor) ฉีดกลับเข้าไปยังหนังศีรษะของคนไข้ ทำให้รากผมและเส้นผมแข็งแรง กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม ซึ่งต่างจากการกินยา finasteride โดยสิ้นเชิง
- การเลเซอร์ LLLT
เลเซอร์ LLLT (Low Level Laser Light therapy) คือวิธีการใช้เลเซอร์ความเข้มข้นสีแดง ขนาดความยาวคลื่น 630 – 680 นาโนเมตร ที่เหมาะสำหรับการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เส้นเลือดผิวหนัง ช่วยสร้างคอลลาเจน ลดอาการอักเสบ สมานแผล ชะลอไม่ให้เส้นผมหลุดร่วง และสนับสนุนให้เส้นผมเกิดการงอกใหม่ได้เป็นอย่างดี เห็นผลได้ชัดเจนมากกว่าการกินยา finasteride
- การปลูกผม
วิธีนี้เป็นที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน และเป็นการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เห็นผลชัดเจน โดยการนำเอาเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่ในบริเวณหนังศีรษะที่เกิดปัญหาผมร่วง โดยแพทย์อาจพิจารณาให้กินยา finasteride ร่วมด้วยเพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ดีมากขึ้น ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะเจ็บหน่อย แต่ก็สามารถช่วยทำให้บริเวณที่ปลูกผมมีผมเกิดขึ้นใหม่ แลดูผมหนากลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
ข้อควรระวังก่อนทานยา finasteride
ถึงแม้จะรู้ว่าการกินยาเป็นวิธีการรักษาผมร่วงที่ง่ายที่สุด แต่คุณควรระมัดระวังในการใช้ยา เพราะยา finasteride เป็นยาอันตรายที่ต้องกินตามแพทย์สั่งเท่านั้น อีกทั้งตัวยายังมีขนาดที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็น finasteride 1 mg หรือ finasteride 5 mg และตัวยาก็อาจเกิดผลข้างเคียง เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินยา เพราะแพทย์จะแนะนำว่ายา finasteride กินตอนไหนถึงจะได้ผลมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี และไม่ทำให้เกิดปัญหาต่อไปในอนาคต ขอแนะนำว่าปรึกษาแพทย์ดีที่สุด
ผลข้างเคียงของการใช้ยา finasteride
ตามที่กล่าวไปว่ายา finasteride เป็นยาอันตรายที่ต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์ ไม่ว่าจะ finasteride 1 mg หรือ finasteride 5 mg นอกจากนี้คุณควรระมัดระวังการใช้ยาเนื่องจากตัวยามีผลข้างเคียงที่อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาหากคุณไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ดังนี้
- ยา finasteride ไม่ได้แก้ปัญหาผมร่วม ผมบาง หรือศีรษะล้านได้อย่างถาวร หลังจากรับการรักษาอาจกลับไปเกิดอาการผมร่วงได้อีก เพราะการยับยั้งการเกิดฮอร์โมน DHT ในผู้ป่วยบางคนทำได้ยากลำบาก บางทีการใช้ยา finasteride อาจไม่ได้ผล
- หากใช้ยา finasteride ติดต่อกันเกิน 1 ปี แล้วยังไม่เป็นผล ควรปรึกษาแพทย์ให้วางแผนการรักษาใหม่ เพื่อให้เกิดการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ย้ำอีกครั้งว่ายา finasteride เป็นยาอันตราย ทุกครั้งก่อนใช้ยาคุณจึงควรปรึกษาแพทย์เสมอ
- แม้ว่าการกินยา finasteride ในระยะยาวอาจไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใด ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรประมาท คุณไม่ควรใช้ยานานจนเกินไป เพราะผู้ที่รู้ว่ายา finasteride กินตอนไหนดีที่สุดก็คือแพทย์เท่านั้น
- หากกินยา finasteride คนไข้บางรายอาจมีความรู้สึกทางเพศลดลง ซึ่งก็พบได้ใน 1 – 3% เท่านั้น เมื่อหยุดยาอาการเหล่านี้ก็จะหายไป
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าหากกินยา finasteride อาจจะไปยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการซึมเศร้ามากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรใช้ในผู้มีภาวะซึมเศร้า
สรุป
ยา finasteride มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งฮอร์โมนเพศชายหรือ DHT ที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดผมร่วง และยาตัวนี้เป็นยาที่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีแพทย์จะแนะนะว่ายา finasteride กินตอนไหนถึงจะช่วยหยุดอาการผมร่วงของคุณได้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกปรึกษากับแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสุขภาพไม่อาจทดลองได้